 
 
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย มรดกไทยและมรดกโลก 
| 
 ผม เคยได้ยินได้ฟังมานานนมแล้วว่า ที่เมืองเก่าสุโขทัย  อดีตราชธานีแห่งแรกแห่งสยามประเทศนั้น มีพระพุทธรูปที่น่าทึ่งและชวนฉงนอยู่  1 องค์ นั่นก็คือ “พระพุทธรูปพูดได้”  ซึ่งความสงสัยเกี่ยวกับองค์พระพุทธรูปพูดได้ของผมมันได้ทวีความรุนแรงขึ้น  เมื่อทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)  ยกให้องค์พระพุทธรูปพูดเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวอันซีนไทยแลนด์
 เมื่อเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวผมจึงออกเดินทางไปดับความสงสัยที่เมืองเก่าสุโขทัย หรือที่ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย”  ที่เป็นทั้งมรดกโลกและเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันสำคัญของเมืองไทย  ซึ่งแม้ว่าวันเวลาจะผ่านมากว่า 700 ปีแล้ว  แต่ว่ารอยอดีตอันยิ่งใหญ่แห่งราชธานีสุโขทัย  และร่องรอยแห่งความงดงามของดินแดนแห่งนี้ยังคงมีให้คนรุ่นหลังเห็นกันอยู่ ทั่วไป
 
 
   
 
รอยอดีตอันงดงามแห่งสุโขทัยตามรอยอดีตอันรุ่งโรจน์ในกำแพงเมืองเก่าสุโขทัยสำหรับ วัดวาอารามและสิ่งที่น่าสนใจในเมืองเก่าสุโขทัยนั้น  ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตกำแพงเมืองสุโขทัย หรือในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย  ซึ่งมีวัดวาอารามสำคัญมากมาย โดยวัดที่สำคัญและโดดเด่นที่สุดก็เห็นจะเป็น  “วัดมหาธาตุ” อันเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสุโขทัย  ที่ตั้งอยู่ใจกลางกำแพงเมือง วัด มหาธาตุประกอบด้วยเจดีย์ประธาน อุโบสถ 1 หลัง วิหาร 10 หลัง มณฑป 8 องค์  ตระพังหรือสระน้ำ 4 แห่ง และเจดีย์รายกว่า 200 องค์  โดยมีเจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ทรง “พุ่มข้าวบิณฑ์”หรือทรงดอกบัวตูม  อันเป็นเจดีย์ที่ถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของศิลปะสุโขทัย  ส่วนบริเวณรอบๆเจดีย์ประธานก็มีเจดีย์รายรอบอยู่อีก 8 องค์
 เมื่อ ไปเที่ยวยังเมืองเก่าสุโขทัยแล้วมองจากด้านหน้าวัดมหาธาตุเข้าไปก็จะเห็นเสา ศิลาแลงของวิหารที่ยังหลงเหลืออยู่ตั้งเรียงรายเป็นแถวนำสายตาสู่พระประธาน องค์โตที่ประดิษฐานอยู่บนฐานที่ยกระดับสูงไปจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร  ส่วนที่ด้านหลังองค์พระประธานก็จะโดดเด่นไปด้วยองค์เจดีย์ประธานทรงดอกบัว ตูม  นับเป็นองค์ประกอบแห่งความงามทางพุทธศิลป์ที่ดูเคร่งขรึมแต่ว่าก็แฝงไปด้วย ความงดงามอ่อนช้อยไม่น้อยทีเดียว
 นอก จากนี้ยังเชื่อกันว่า บริเวณลานวัดด้านหนึ่งของพระประธาน“ขอมดำดิน”  เคยมาพบกับ“พระร่วง”และด้วยวาจาอันสิทธิ์ของพระร่วงทำให้ขอมกลายเป็นหินอยู่  ณ ที่ตรงนั้น ส่วนทางฝั่งตะวันออกขององค์เจดีย์ประธานมีแท่นก่อด้วยศิลาแลง  ที่ในอดีตเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระศรีศากยมุนี  อันเป็นพระพุทธรูปสำริดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดสุทัศน์ฯ ในกรุงเทพฯ
 
 
   
 
แสง-เงาบนเจดีย์เก่าแก่แห่งสุโขทัยถัด จากวัดมหาธาตุไปทางด้านทิศตะวันตก  มีวัดเล็กๆที่น่าสนใจอยู่วัดหนึ่งนั่นก็คือ “วัดตระพังเงิน”  ที่โดดเด่นไปด้วยโบสถ์กลางน้ำ  ซึ่งโบสถ์แห่งนี้มีลักษณะที่แตกต่างไปจากโบสถ์ที่ทั่วไปก็คือ  ตามปกติแล้วโบสถ์ทั่วไปจะมีใบเสมาเป็นเครื่องแสดงเขตสังฆกรรม  แต่สำหรับโบสถ์ของวัดตระพังเงินนั้นไม่มีใบเสมา  แต่ว่าได้มีการใช้สระน้ำเป็นเครื่องแสดงเขตสังฆกรรมแทน โดยเรียกว่า  “อุทกสีมา” หรือ “นทีสีมา” เช่น เดียวกันกับ วัดสระศรี ที่อยู่ไม่ไกลจากวัดตระพังเงินนัก  วัดนี้มีโบสถ์ตั้งอยู่กลางสระน้ำตามคติอุทกสีมาเช่นเดียวกับวัดตระพังเงิน  โดยโบสถ์นั้นเป็นโบสถ์ขนาดเล็ก ส่วนสระน้ำกลับมีขนาดใหญ่ ซึ่งมีชื่อว่า  “ตระพังตระกวน” หรือ สระผักบุ้ง
 ใน ส่วนจุดชวนชมอื่นของวัดสระศรีก็มี เจดีย์ประธานทรงลังกา  ที่ด้านหน้าวิหารมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่  สำหรับเสน่ห์ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของวัดสระศรีก็คือ  บรรยากาศยามอาทิตย์อัสดงที่ด้านหลังวัดสระศรีนั้นสวยงามมาก  ถ้าวันไหนท้องฟ้าเป็นใจก็จะได้เห็นดวงอาทิตย์ลูกกลมแดง  ค่อยๆเคลื่อนดวงคล้อยหายไปในขุนเขาที่อยู่ด้านหลัง  โดยมีฉากหน้าเป็นเงามืดของเจดีย์ที่ยามส่องต้องกับสายน้ำในสระจะดูเรื่อ เรืองขรึมขลังดีแท้
 และ เมื่อไปเที่ยวที่วัดสระศรีแล้ว ก็ไม่ควรพลาดการไปสักการะ  “อนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช” ที่อยู่ใกล้ๆกับสระน้ำของวัดสระศรี  เพราะว่าคุณงามความดีที่พ่อขุนรามคำแหงได้สร้างไว้ให้กับลูกหลานคนไทยนั้น มากมายเหลือคณาจริงๆ
 
 
   
 
อาทิตย์อัสดงที่วัดสระศรีจากวัด สระศรีผมไปเที่ยวต่อยังวัดศรีสวาย  ซึ่งวัดนี้มีลักษณะแปลกกว่าวัดอื่นๆในเขตกำแพงเมืองเก่า  คือเป็นวัดที่สร้างด้วยศิลปะแบบขอม มีองค์ปรางค์ 3 องค์  ตั้งตระหง่านที่หากสังเกตลวดลายปูนปั้นดีๆก็จะเห็นลวดลายปูนปั้นบางส่วนมี ลายเหมือนเครื่องถ้วยแบบจีน นอก จากนี้ที่วัดศรีสวายวัดยังมีทับหลังสลักเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์  ชิ้นส่วนของเทวรูป  และศิวลึงค์ที่แสดงให้เห็นว่าเคยเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูมาก่อน  แล้วได้ต่อเติมเป็นวัดในพุทธศาสนาในภายหลัง
 
 เที่ยววัดศรีชุม สดับรับฟังพระพุทธรูปพูดได้ของ ดีของเมืองเก่าสุโขทัยไม่ใช่มีแค่ในเขตกำแพงเมืองเท่านั้น  แต่ว่าที่ภายนอกกำแพงเมืองสุโขทัยออกไป เพียงนิดเดียว  ยังมีวัดที่น่าสนใจมากอยู่วัดหนึ่งนั่นก็คือ “วัดศรีชุม” ซึ่งคำเรียกชื่อวัดศรีชุมนั้น บ้างก็ว่ามาจากคำว่า สะหลีชุม หรือหมายถึงดงต้นโพธิ์ บ้างก็ว่าหมายถึง  ฤๅษีชุม ซึ่งก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่สำหรับสิ่งที่น่าสนใจมากๆของวัดนี้อยู่ที่ คำเล่าลือที่ว่า พระพุทธรูปที่วัดศรีชุมนั้นพูดได้?!?
 
 
   
 
พระอจนะ พระพุทธรูปพูดได้แห่งวัดศรีชุมเรื่องนี้จริง-เท็จอย่างไรคงต้องตามไปพิสูจน์เป็นดีที่สุด สำหรับ พระพุทธรูปที่ว่าพูดได้นั้น มีนามว่า “พระอจนะ” ที่แปลว่าผู้ไม่หวั่นไหว  ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 11.30 เมตร  และมีความสูงถึง 15 เมตร โดยมีพุทธลักษณะงดงามมากทีเดียว  ซึ่งตอนแรกที่ผมไปยืนเพ่งพินิจดูยังไงๆ ก็เห็นพระอจนะเป็นพระพุทธรูปธรรมดา  ที่ยังมองไม่เห็นว่าท่านจะพูดได้อย่างไร
 จน เมื่อผมได้รับรู้ประวัติของพระอจนะองค์นี้ว่า ครั้งหนึ่ง  เมื่อพระนเรศวรได้มาประชุมทัพเพื่อจะยกไปปราบเมืองสวรรคโลก  ท่านต้องการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่เหล่าทหาร  ดังนั้นจึงได้มีพิธีเสี่ยงทายกับพระพุทธรูป โดยได้เสี่ยงทายว่า  การรบครั้งนี้หากจะได้ชัยชนะกลับมาก็ขอให้พระอจนะที่วัดศรีชุมแห่งนี้จง กล่าวตอบ แต่หากไม่ชนะก็ไม่ต้องตอบสิ่งใด
 และ ผลของการเสี่ยงทายก็คือ พระอจนะก็ได้กล่าวตอบมาจริงๆ  ซึ่งหลายๆคนคงนึกว่าเป็นปาฏิหารย์หรืออย่างไรที่ทำให้พระอจนะแห่งวัดศรีชุม พูดได้ แต่ว่าจริงๆแล้วเปล่าเลย  แต่ว่าเหตุที่พระอจนะพูดได้นั้นเกิดจากกุศโลบายของพระนเรศวร  ที่ได้ส่งคนขึ้นไปอยู่ด้านหลังเศียรพระและพูดตอบคำถามแทน  เพื่อเป็นการปลุกปลอบขวัญทหารให้ฮึกเหิม  โดยในผนังด้านหลังองค์พระอจนะจะมีอุโมงค์แคบๆที่คนสามารถเดินขึ้นไปยังหลัง เศียรพระได้  เมื่อขึ้นไปแล้วพอส่งเสียงพูดก็จะมีเสียงจะก้องกังวานเหมือนว่าพระพุทธรูป นั้นพูดได้จริงๆ จากนั้นเป็นต้นมาก็กลายเป็นคำร่ำลือว่า  พระอจนะแห่งวัดศรีชุมนี้พูดได้
 ผม เห็นภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อนแล้วก็อดทึ่งไม่ได้  ซึ่งนี่แหละคือความสามารถของคนสมัยก่อนที่คนรุ่นหลังควรศึกษาไว้เป็นแนวทาง  และเรียนรู้ถึงอดีตอันยิ่งใหญ่ในอดีตแห่งอาณาจักรสุโขทัย  เมืองรุ่งอรุณแห่งความสุขที่ ณ วันนี้แม้ว่าจะผ่านกาลเวลามากว่า 700 ปีแล้ว   แต่ว่ารอยอดีตอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรสุโขทัยยังคงมีเรื่องราวและความน่าสนใจ ให้คนรุ่นหลังได้ค้นคว้าศึกษากันไม่มีที่สิ้นสุด
 | 
 
Posted in คนกรุงเก่า
 
ฟังพระพุทธรูปพูดได้ที่เมืองเก่า “สุโขทัย”