แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวประวัติของปรมาจารย์แห่งลัทธิมาร์กซ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวประวัติของปรมาจารย์แห่งลัทธิมาร์กซ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555


มาร์กซ ท่ามกลางการปฎิวัติยุโรป
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
ผลกระทบสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับการปฏิวัติ ค.ศ. ๑๘๔๘ ในเยอรมนี คือ การเฟื่องฟูอย่างมากของหนังสือพิมพ์ หลังจากที่รัฐบาลแทบทุกแคว้นต่างก็ถูกบีบให้เลิกการเซ็นเซอร์ ปรากฏว่าในเขตไรน์แลนด์มีหนังสือพิมพ์ใหม่ออกเผยแพร่ถึง ๗๐ ฉบับ ใน ๑ ปี ซึ่งในจำนวนนี้ ฉบับหนึ่งคือหนังสือพิมพ์ที่มาร์กซเป็นบรรณาธิการ เพราะเป็นความตั้งใจแต่เดิมของมาร์กซ ที่จะจัดตั้งหนังสือพิมพ์ก้าวหน้า เพื่อสนับสนุนและโฆษณาการปฏิวัติ แต่ปัญหาเรื่องการระดมทุนยังเป็นประเด็นหลัก
ในที่สุดมาร์กซก็สามารถรวบรวมเงินได้จำนวนหนึ่ง และต้องนำเงินส่วนตัวของเขามาสบทบเพื่อผลักดันหนังสือพิมพ์ที่ชื่อว่า นิวไรน์ (Neue Rheinische Zeitung) หนังสือพิมพ์นี้ก็ออกเผยแพร่ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.๑๘๔๘ และตั้งแต่ฉบับแรกก็มีลักษณะเป็นหนังสือพิมพ์ระดับชาติยิ่งกว่าจะเป็นระดับท้องถิ่นโคโลญ ในหนังสือพิมพ์นี้มาร์กซจะเสนอบทความและความคืบหน้าเกี่ยวกับการปฏิวัติในเยอรมนี ส่วนเองเกลส์จะรับผิดชอบรายงานถึงความคืบหน้าของการปฏิวัติในฝรั่งเศสและอังกฤษสำหรับคนอื่นในกองบรรณาธิการ ก็เช่น เอิร์นสก์ ดรองเก วิลเฮล์ม วอลฟ์ (Wilhelm Wolff) ไฮน์ริค เบอร์เกอร์ส (Heinrich Burgers) เป็นต้น เนื่องจากความเร่งด่วนของสถานการณ์ จึงปรากฏว่าหนังสือพิมพ์นี้จะเป็นเรื่องการรายงานความคืบหน้าของการปฏิวัติเสียยิ่งกว่าเป็นหนังสือชี้นำในเชิงทฤษฎีแต่กระนั้น นิวไรน์ก็กลายเป็นหนังสือพิมพ์ฝ่ายสังคมนิยมที่มีบทบาทมากที่สุดท่ามกลางการปฏิวัติในเยอรมนี
คำขวัญของหนังสือพิมพ์นิวไรน์คือ “สื่อแห่งประชาธิปไตย” ซึ่งได้เรียกร้องให้มีการสร้างแนวร่วมอย่างกว้างของพลังประชาธิปไตยทั้งมวลเพื่อการปฏิวัติ สำหรับมาร์กซเองก็แสดงการสนับสนุนสโมสรประชาธิปไตยแห่ง เมืองโคโลญ มาร์กซเห็นว่าบทบาทของชนชั้นกรรมาชีพในขณะนี้ คือการ สนับสนุนการปฏิวัติของชนชั้นกระฎุมพีที่ก้าวหน้า ดังนั้น นิวไรน์จึงมิได้เสนอแนวทางแห่งลัทธิสังคมนิยม หากแต่สนับสนุนให้มีรัฐสภา การเลือกตั้งทั่วไปสิทธิทางการเมืองของประชาชนและเสนอให้ยกเลิกพันธะแบบศักดินาทั้งหมด
ในทางเศรษฐกิจนิวไรน์ได้เสนอให้มีการตั้งธนาคารชาติเพื่อควบคุมการเงิน ให้ประกันการว่างงานโดยไม่ได้แตะต้องเรื่องกรรมสิทธิเอกชน ความต้องการของมาร์กซในขณะนี้ จึงเป็นการปฏิวัติเพื่อสถาปนารัฐกระฎุมพี ที่อาจจะมีการให้สิทธิบางประการแก่กรรมกรและชาวนา มาร์กซเห็นว่า ชนชั้นกรรมกรเยอรมนีควรจะรวมตัวกันตั้งองค์กรในระดับทั่วประเทศสร้างความ เข้มแข็งของขบวนการ แต่ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแยกตนเองจากพันธมิตรนั่นคือจะต้องสนับสนุนการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนให้ลุล่วงไปด้วยดี
เมื่อมาร์กซและสมาชิกสันนิบาติคอมมิวนิสต์อื่น ๆ กลับเข้ามาในเขตเยอรมนี เขาหวังว่าจะเกิดกระแสการปฏิวัติแบบฝรั่งเศสที่จะนำมาสู่การโค่นอำนาจของกษัตริย์และเจ้าขุนมูลนายลง แต่ปรากฏว่า การปฏิวัติที่เกิดขึ้นในเยอรมนีกลับกลายเป็นกระแสสนับสนุนกษัตริย์แคว้นต่าง ๆ ที่จะรวมเยอรมนี เพียงแต่จะมุ่งลดอำนาจของจักรพรรดิออสเตรียเท่านั้น มีเพียงที่แคว้นบาเดนแห่งเดียวที่กลุ่มนิยมสาธารณรัฐลุกฮือขึ้น เพื่อโค่นล้มระบอบกษัตริย์ แต่ก็ถูกปราบลงได้ สาเหตุที่การปฏิวัติเพื่อโค่นกษัตริย์กระแสไม่สูงในเยอรมนี ก็เป็นเพราะอำนาจของชนชั้นขุนนาง เจ้าที่ดิน และอภิสิทธิชนยังคงมั่นคง ชนชั้นกลางของเยอรมันยังไม่เข้มแข็งเท่าชนชั้นกลางฝรั่งเศส ที่สามารถปฏิวัติโค่นกษัตริย์ลงได้ และยังไม่เท่าชนชั้นกลางอังกฤษ ที่จะสถาปนาระบอบรัฐสภาได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะในจักรวรรดิออสเตรียระบบทาสกสิกรก็ยังคงอยู่ ชนชั้นขุนนางเจ้าที่ดินมีอำนาจอย่างมาก ในแคว้นปรัสเซียซึ่งเป็นรัฐเยอรมนีที่ใหญ่ที่สุดก็ยังคงมีระบอบทาสกสิกรเช่นกัน ดังนั้น ชนชั้นขุนนางเจ้าที่ดิน ที่เรียกว่า จุงเกอร์ (Junkers) ยังคงรักษาอำนาจไว้ได้โดยการสนับสนุนกษัตริย์เฟรเดอริกวิลเฮล์มที่ ๔ และต่อต้านสภา แห่งชาติแฟรงเฟริต การปฏิวัติชนชั้นกลางที่เกิดในปรัสเซียที่เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๘๔๘ ทำให้กษัตริย์เฟรเดอริกวิลเฮล์ม ต้องยอมประกาศที่จะสนับสนุนการรวมเยอรมนี และตั้งให้รูดอล์ฟ แคมป์เฮาเสน (Rudolf Camphausen) ผู้นำฝ่ายเสรีนิยม เป็นอัครเสนาบดี และยอมตั้งสภาแห่งชาติปรัสเซีย เพื่อร่างรัฐธรรมนูญและทำหน้าที่นิติบัญญัติ แต่แคมป์เฮาเสนก็ประนีประนอมกับฝ่ายปฏิกิริยา โดยไม่แตะต้องผลประโยชน์ของชนชั้นเจ้าที่ดิน ไม่มีมาตรการที่จะยกเลิกระบอบทาสกสิกรและปลดปล่อยชาวนา ดังนั้น สมาชิกสภาที่ได้รับเลือกมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.๑๘๔๘ แม้ว่าจะมีกลุ่มที่ก้าวหน้าและสนับสนุนประชาธิปไตยอยู่บ้าง แต่ก็มีพวกขุนนาง พวกอภิสิทธิ์ชน และพวกจุงเกอร์ จำนวนไม่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้กลุ่มเสรีนิยมพยายามจะก่อการปฏิวัติอีกครั้งในกรุงเบอร์ลิน เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.๑๘๔๘ แต่การก่อการครั้งนี้ไม่สำเร็จ และกลับทำให้กษัตริย์เฟรเดอริกวิลเฮล์มได้โอกาสถอดแคมป์เฮาเสนจากตำแหน่ง ในหนังสือพิมพ์นิวไรน์ มาร์กซได้เสนอเรื่องนี้ไว้ว่า สถานการณ์ทางการเมืองหลังการปฏิวัตินั้น รัฐบาลใหม่จะต้องกล้าใช้อำนาจเด็ดขาดเพื่อกวาดล้างสถาบันเก่า และขัดขวางการฟื้นอำนาจของพวกนิยมระบอบเก่า แต่แคมป์เฮาเสนกลับไม่ดำเนินการแต่อย่างใด จึงทำให้พลังต่อต้านปฏิวัติสามารถฟื้นตัว
นอกจากนี้ มาร์กซยังได้เสนอด้วยว่า ชนชั้นกระฎุมพีเยอรมันจะต้องช่วยเหลือและปลดปล่อยชนชั้นชาวนา จึงจะได้ชาวนามาเป็นมิตรในการโค่นอำนาจของศักดินา และมาร์กซได้เสนอข้อเสนอต่อสภาแห่งชาติแฟรง เฟริตว่า ไม่อาจจะรอคอยฝากความหวังที่จะให้เกิด “สาธารณรัฐเยอรมนี” ที่เป็นเอกภาพ แต่จะต้องมีการตั้งพรรคการเมืองที่ก้าวหน้าเพื่อดำเนินการมอบอำนาจให้ประชาชน และตระเตรียมที่จะต้องทำสงครามปฏิวัติกับรุสเซีย เพราะการที่จะดำเนินการปฏิวัติให้ก้าวหน้าต่อไป จะต้องทำสงครามปฏิวัติกับพระเจ้าซาร์แห่งรุสเซีย ซึ่งเป็นแกนหลักในการรักษาระบอบเก่าแห่งยุโรป มิฉะนั้นแล้ว การปฏิวัติในเยอรมนีจะต้องประสบความพ่ายแพ้ เองเกลส์ได้เสนอในเรื่องนี้ว่า การเผยแพร่การปฏิวัติสู่รุสเซีย หรืออย่างน้อยก็ให้มีการสถาปนารัฐประชาธิปไตยในโปแลนด์ จะเป็นหลักประกันแก่ประชาธิปไตยเยอรมนี
ความจริงข้อเสนอให้ผลักดันการทำสงครามกับรุสเซียนั้น ได้รับการเห็นพ้องไม่น้อยจากพวกเสรีนิยม แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลปรัสเซีย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะความไม่แน่ใจในแสนยานุภาพว่า ปรัสเซีย จะสามารถเอาชนะรุสเซียได้ แต่เหตุผลที่มากกว่านั้น น่าจะเป็นเพราะกษัตริย์ปรัสเซียและชนชั้นเจ้าที่ดินยังเห็นรุสเซียเป็นภัยที่คุกคามสถานะเดิมของตนน้อยกว่าการปฏิวัติที่กำลังดำเนินอยู่
ประเด็นทางการเมืองระหว่างประเทศประการหนึ่งที่ดำรงอยู่ก็คือ ในระหว่างการปฏิวัติ กรณีแคว้นชเลสวิก-โฮลสไตน์ ซึ่งเป็นรัฐเยอรมันตอนเหนือที่อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์เดนมาร์ก แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติในดินแดนเยอรมนี กลุ่มเสรีนิยมในแคว้นชเลสวิก-โฮลสไตน์ก็ก่อการปฏิวัติสลัดอำนาจของกษัตริย์เดนมาร์ก และเรียกร้องต้องการรวมเข้ากับเยอรมนี โดยส่งตัวแทนเข้าประชุมสภาแห่งชาติแฟรงเฟริตด้วย แต่ปรากฏว่ากษัตริย์เดนมาร์คไม่ยินยอมจึงส่งทหารเข้าปราบ สถานการณ์นี้บีบให้ปรัสเซียต้องส่งทหารเข้าช่วยเหลือ จึงกลายเป็นสงครามระหว่างปรัสเซียกับเดนมาร์ค สภาแห่งชาติแฟรงเฟริตให้การสนับสนุนแก่กษัตริย์ปรัสเซีย แต่ปรากฏว่า รุสเซียและอังกฤษกลับให้ความสนับสนุนกับเดนมาร์กจึงทำให้การสู้รบยืดเยื้อ
ต่อมา ราวกลางเดือนมิถุนายน ค.ศ.๑๘๔๘ ตัวแทนจากองค์กรประชาธิปไตยทั่วดินแดนเยอรมนี ได้เปิดประชุมสภาแห่งชาติที่เมืองแฟรงเฟริต ประกาศยืนยันให้มีการรวมเยอรมันในระบอบประชาธิปไตย โดยสนับสนุนกษัตริย์ปรัสเซียเป็นกษัตริย์ในรัฐธรรมนูญ ได้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการกลางที่กรุงเบอร์ลิน โดยมี เฮอร์มาน ครีจ วิลเฮล์ม เวทลิง และ อาร์โนลด์ รูเก เป็นกรรมการร่วมอยู่ด้วย
แม้ว่ารากฐานของสภาแห่งชาติในรัฐเยอรมันต่าง ๆ ยังไม่มั่นคงนัก แต่สำหรับในเขตไรน์แลนด์ ซึ่งมีพื้นฐานชนชั้นกลางที่มั่นคงกว่าในเขตอื่น ๆ กระแสประชาธิปไตยยังเฟื่องฟูต่อไป ที่เมืองโคโลญ องค์กรเคลื่อนไหว ๓ องค์กร คือ สมาคมกรรมกร สโมสรประชาธิปไตย และ สหภาพนายจ้างและลูกจ้าง ได้ร่วมมือกันส่งตัวแทนไปร่วมประชุมที่แฟรงเฟริต ซึ่งผู้มีบทบาทในระยะแรกคือ อันดรีส กอตต์ชอลก์ แต่ต่อมา ผู้นำสมาคมกรรมกร คือ โจเซฟ มอลล์ (Joseph Moll) และ คาร์ล แชปเปอร์ (Karl Schapper) อดีตผู้นำสันนิบาตเพื่อความเป็นธรรม มอลล์เคยป็นช่างทำนาฬิกา ก่อนที่จะตื่นตัวร่วมการเคลื่อนไหวปฏิวัติ ส่วน แชปเปอร์ เป็นนักปฏิวัติรุ่นอาวุโสจากเมืองนัสเซา สำหรับมาร์กซก็ได้กลายเป็นผู้นำสำคัญอีกคนหนึ่งในฐานะตัวแทนของสโมสรประชาธิปไตย สำหรับผู้แทนของสหภาพนายจ้างและลูกจ้าง คือ เฮอร์มาน เบกเกอร์(Hermann Becker)
ในการประชุมร่วมของตัวแทนสามองค์กร ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๘๔๘ ได้ตกลงให้มีการเรียกประชุมสมัชชาประชาธิปไตยของเขตไรน์แลนด์ขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะขยายการปลุกระดมในหมู่กรรมกร และชาวนาให้สนับสนุนการปฏิวัติ มาร์กซเป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากในการผลักดันนโยบายนี้เขาจึงได้รับเลือกให้เป็นกรรมการสมัชชาประชาธิปไตยของเขตไรน์แลนด์ ในระหว่างนี้ มาร์กซได้แสดงความเห็นคัดค้านข้อเสนอของวิลเฮล์ม เวทลิง ซึ่งเป็นปัญญาชนปรัสเซีย ที่ลี้ภัยไปอยู่สหรัฐ และกลับมาในช่วงแรกของการปฏิวัติ เวทลิงมีบทบาทอย่างมากที่เบอร์ลิน และเขาได้เรียกร้องให้สถาปนาอำนาจเผด็จการขึ้นรักษาดอกผลการปฏิวัติ เพราะหากปล่อยให้เป็นประชาธิปไตยจะนำมาซึ่งความวุ่นวาย มาร์กซเสนอความเห็นตรงข้ามว่า ถ้าหากมีการสถาปนาเผด็จการ จะไม่สามารถระดมการ สนับสนุนจากประชาชนได้ ซึ่งที่ถูกต้องคือจะต้องมีรัฐบาลประชาธิปไตยที่ประสานความเห็นของฝ่ายต่างๆ มาผลักดันให้เป็นนโยบาย
แม้ว่า หนังสือพิมพ์นิวไรน์ของมาร์กซจะเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลอย่างยิ่ง และมียอดขายถึง ๕๐๐๐ ฉบับในเดือนมิถุนายน ค.ศ.๑๘๔๘ ซึ่งนับว่าสูงมาก แต่ปัญหาเรื่องทุนดำเนินงานเป็นประเด็นหลัก รายได้จากยอดขายนั้นไม่พอเพียงที่จะทำให้หนังสือพิมพ์ดำเนินการต่อไป ในเดือนกรกฎาคม โรงพิมพ์ได้ปฏิเสธที่จะพิมพ์หนังสือพิมพ์นี้ต่อไป ถ้าหากมาร์กซไม่สามารถหาเงินมาจ่ายหนี้ที่ค้างชำระ ทำให้การออกหนังสือชะงักไปเล่มหนึ่ง ก่อนที่มาร์กซจะหาโรงพิมพ์ใหม่ที่จะรับพิมพ์ นอกจากนี้มาร์กซยังประสบปัญหาส่วนตัว จากการที่ทางการตำรวจโคโลญไม่ยอมคืนสัญชาติปรัสเซียแก่มาร์กซ ซึ่งหมายถึงว่า มาร์กซจะต้องอยู่ในฐานะคนต่างชาติที่อาจจะถูกขับออกจากดินแดนปรัสเซียได้ทันที จนถึงปลายเดือนสิงหาคม มาร์กซจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังกรุงเบอร์ลินและกรุงเวียนนาเพื่อพบกับผู้นำการปฏิวัติประชาธิปไตยคนอื่นๆ และเพื่อหาทางระดมทุนมาทำหนังสือต่อไป
มาร์กซมาถึงกรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของปรัสเซีย และพักอยู่ที่นั่น ๒ วัน เขาได้พบกับคาร์ล คืปเปน เพื่อนเก่าที่เคยอยู่ในกลุ่มยุวชนลัทธิเฮเกล จากนั้นได้เดินทางต่อไปยังเวียนนา เมืองหลวงของจักรวรรดิออสเตรีย พักอยู่ ๒ สัปดาห์ และได้เข้าร่วมการประชุมของสมาคมประชาธิปไตยในเวียนนา ในขณะนั้น สมาคมประชาธิปไตยเวียนนา กำลังเตรียมยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลรักษาการลาออก แต่ปัญหาที่ถกเถียงกันคือ จะยื่นข้อเสนอนี้กับใคร กับรัฐสภา หรือยื่นต่อจักรพรรดิออสเตรีย มาร์กซเปลี่ยนเป้าหมายโดยเสนอว่า การเสนอข้อเรียกร้องต่อจักรพรรดิหรือสภายังไม่ถูกเป้าหมาย เพราะ "อำนาจที่สำคัญที่สุดนั้นถูกลืมไปนั่นคือ ประชาชน" มาร์กซเสนอว่า สมาคมประชาธิปไตยเวียนนาควรผลักดันโดยผ่านการเคลื่อนไหวประชาชน อาจจะผ่านหนังสือพิมพ์หรือนำเสนอโดยการชุมนุมประชาชน นอกจากนี้ มาร์กซ ยังได้รับเชิญให้ไปบรรยายในหัวข้อ "ค่าจ้างแรงงานและทุน" หลังจากนั้น มาร์กซก็เดินทางกลับมายังกรุงเบอร์ลินอีกครั้ง เข้าร่วมประชุมสภาของ ปรัสเซีย และพบกับสมาคมปฏิวัติโปแลนด์ ซึ่งสนับสนุนเงินจำนวนหนึ่งแก่มาร์กซในการจัดทำนิวไรน์ นอกจากนี้ มาร์กซยังสามารถรวบรวมเงินได้อีกจำนวนหนึ่งที่จะนำมาทำหนังสือต่อไปด้วย แต่ปรากฏว่าสถานการณ์ในปรัสเซียเมื่อต้นเดือนกันยายนเริ่มตึงเครียด มาร์กซจึงตัดสินใจรีบเดินทางกลับมายังเมืองโคโลญ
วันที่ ๑๑ กันยายน ค.ศ.๑๘๔๘ มาร์กซกลับมาถึงเมืองโคโลญ ในขณะนั้นเหตุการณ์ระหว่างฝ่ายปฏิวัติประชาธิปไตยกับทางการรัฐบาลปรัสเซีย กำลังตึงเครียด รัฐบาลปรัสเซียได้ส่งทหารเข้ามาตั้งในโคโลญ ซึ่งส่วนมากเป็นทหารที่มาจากเขตปรัสเซียตะวันออกอันเป็นเขตที่อนุรักษ์นิยมและยึดมั่นต่อกษัตริย์ปรัสเซียมากที่สุด ในระยะที่มาร์กซกลับมาโคโลญ ได้เกิดการปะทะกันระหว่างฝ่ายทหารและประชาชน ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน กลุ่มประชาธิปไตยในโคโลญจึงได้เรียกชุมนุมในวันที่ ๑๓ กันยายน เพื่อทำพิธีไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต จากนั้นได้มีการยื่นข้อเรียกร้องให้แก่ทางการปรัสเซียเพื่อให้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ และมุ่งผลักดันรัฐเยอรมันต่างๆ ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยมุ่งสู่การรวมเยอรมนี นอกจากนี้ยังคัดค้านรัฐบาลปรัสเซียที่ยอมสงบศึกกับกษัตริย์เดนมาร์กในกรณีแคว้นชเลสวิก-โฮลสไตน์ โดยยอมให้แคว้นทั้งสองยังตกเป็นของเดนมาร์กเช่นเดิม ซึ่งเป็นเครื่องชี้ว่า รัฐบาลปรัสเซียหักหลังกลุ่มเสรีนิยมในแคว้นชเลสวิก-โฮลสไตน์ และประนีประนอมกับรุสเซีย ที่ต้องการรักษาสถานะเดิมของยุโรป ปรากฏว่าที่ชุมชุม ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อความปลอดภัยสาธารณะขึ้นมาเป็นตัวแทนประชาชนจำนวน ๓๐ คน ซึ่งมาร์กซก็ได้รับเลือกในกรรมการชุดนี้ด้วย ต่อมาคณะกรรมการนี้ได้เลือกคณะกรรมการดำเนินงาน ๕ คน โดยมีเฮอร์มาน เบกเกอร์เป็นประธาน คณะกรรมการชุดนี้ได้ส่งหนังสือไปยังรัฐสภาของปรัสเซีย ให้ยืนหยัดต้านกระแสโต้การปฏิวัติของฝ่ายอนุรักษ์ และกระแสปราบปรามของฝ่ายรัฐ นอกจากนี้ คณะกรรมการยังได้เรียกชุมนุมประชาชนในวันที่ ๑๗ กันยายน เพื่อแสดงการสนับสนุนสภาแห่งชาติแฟรงเฟริต ซึ่งมีประชาชนมาเข้าร่วมนับหมื่นคน แต่ปรากฏว่า ในระยะเดือนกันยายนนี้กระแสปฏิกิริยาเริ่มทำการรุกกลับที่จะปราบปรามการปฏิวัติ
การรุกกลับของฝ่ายอนุรักษ์นิยม และต่อต้านการปฏิวัติได้เริ่มต้นมาก่อนแล้ว กษัตริย์ปรัสเซียได้เปลี่ยนรัฐบาลจากเสรีนิยม มาสู่รัฐบาลอนุรักษ์นิยมมากยิ่งขึ้นและเริ่มปราบปราม ดังนั้นเมื่อสมัชชาประชาธิปไตยแห่งไรน์แลนด์ ได้เตรียมการที่จะนัดประชุมในวันที่ ๒๕ กันยายน ปรากฏว่า เช้าวันนั้น กลุ่มผู้นำสมัชชาถูกจับกุมเสียก่อน ซึ่งผู้ถูกจับกุมก็เช่น เบกเกอร์ และ แชปเปอร์ ส่วนมอลล์หนีรอดได้อย่างหวุดหวิด หลังจากนั้น รัฐบาลได้ออกหมายจับอีกหลายคน รวมทั้ง วอลฟ์ ดรองเก เบอร์เกอร์ และ เองเกลส์ด้วย ในข้อหาที่ทางการทหารโคโลญตั้งก็คือ บ่อนทำลายความมั่นคงและเป็นกบฎต่อรัฐปรัสเซีย แต่มาร์กซไม่ได้ถูกออกหมายจับ เพราะในระยะนั้น มาร์กซไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมสาธารณะ ในการประชุมของสโสมรประชาธิปไตย ในเวลาบ่ายของวันที่ ๒๕ กันยายน ได้มีมติให้เลี่ยงการเผชิญหน้ากับฝ่ายทหารเพื่อรักษากำลัง เพราะเย็นวันนั้นเอง ทางการโคโลญก็ประกาศกฎอัยการศึก และสั่งห้ามการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งหมด รวมทั้งสั่งปิดหนังสือพิมพ์นิวไรน์ด้วย มาร์กซจึงเตรียมการที่จะย้ายฐานของหนังสือพิมพ์ไปยังเมืองดุสเซนดอฟฟ์ ซึ่งเป็นอีกเมืองหนึ่งในเขตไรน์แลนด์ ที่กลุ่มปฏิวัติยังคงมีบทบาทอยู่
แต่กระนั้น ทางการทหารโคโลญก็รักษากฎอัยการศึกไว้ได้เพียงสัปดาห์เดียว เพราะไม่ได้รับการยอมรับจากสภาแห่งชาติปรัสเซียที่กรุงเบอร์ลินซึ่งกลุ่มเสรีนิยมยังคงมีบทบาทนำ และแม้แต่สภาเมืองโคโลญก็ไม่ให้การรับรอง ดังนั้นในวันที่ ๓ ตุลาคม ค.ศ.๑๘๔๘ กฎอัยการศึกจึงถูกยกเลิก หนังสือพิมพ์นิวไรน์ ได้รับการอนุญาตให้ออกเผยแพร่ได้ใหม่ แต่กระนั้น มาร์กซก็ประสบปัญหาเงินทุนดำเนินการอีกครั้ง จึงยังไม่อาจออกหนังสือตามกำหนดได้ จึงต้องนำเงินส่วนตัวและเงินของเจนนีมาใช้เพื่อออกหนังสือพิมพ์ต่อไป ซึ่งเป็นฉบับวันที่ ๑๓ ตุลาคม ปรากฏว่า หนังสือพิมพ์ก็ยังออกทันการรายงานข่าวการปฏิวัติละรอกที่สองในกรุงเวียนนา เมื่อกลุ่มเสรีนิยมยึดอำนาจอีกครั้งจนทำให้จักรพรรดิต้องหนีออกจากเมืองไปลี้ภัยที่เมืองออลมุกในแคว้นโมราเวีย แต่กระนั้น การรุกของฝ่ายประชาธิปไตยในเวียนนาครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเมืองต่างๆ ในจักรวรรดิออสเตรียมิได้ก่อการลุกขึ้นสู้สนับสนุน ทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมและพวกขุนนางเริ่มตั้งตัวและรวมตัวกันสนับสนุนจักรพรรดิ ซึ่งจะกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้กระแสการเมืองพลิกกลับไปสู่การถดถอยของการปฏิวัติ และการฟื้นตัวของพลังอำนาจเก่าในระยะต่อมา


มาร์ซกับการปฏิวัติยุโรป ค.ศ.1848 ตอนเริ่มต้น
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
ต้นปี ค.ศ. ๑๘๔๘ มาร์กซ ยังอยู่ที่เบลเยียม ในขณะที่การปฏิวัติยุโรปกำลังจะเริ่มต้น การปฏิวัติยุโรป ค.ศ. ๑๘๔๘ เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ยุโรป ในที่นี้จึงจะต้องขอเล่าเรื่องราวของการปฏิวัติครั้งนี้โดยสังเขป
ยุโรปก่อน ค.ศ.๑๘๔๘ นั้น เป็นยุคแรกแห่งการพัฒนาของระบอบทุนนิยมสมัยใหม่ ซึ่งเริ่มจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษหลัง ค.ศ. ๑๗๗๐ อันนำมาซึ่งการเกิดระบบโรงงานอุตสาหกรรม และการขยายตัวอย่างมากของธุรกิจการค้า ต่อมาหลัง ค.ศ.๑๘๓๐ การปฏิวัติอุตสาหกรรมก็เริ่มแผ่ขยายไปในประเทศอื่น เช่น ฝรั่งเศส เบลเยียม และในแคว้นเยอรมนีตอนเหนือ ทำให้ระบบทุนนิยมเริ่มขยายตัวในดินแดนเหล่านี้
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจดังกล่าวทำให้ชนชั้นพ่อค้านายทุนมีบทบาทมากขึ้น ชนชั้นกลางและชนชั้นกรรมาชีพ ก็ขยายตัวมากขึ้นตามเมืองต่างๆ ขณะที่กษัตริย์และเจ้าศักดินายังคงครอบงำอำนาจทางการเมือง ยุคสมัยดังกล่าวจึงเป็นยุคสมัยแห่งความขัดแย้งทางความคิดระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมปฏิกิริยา และกลุ่มปัญญาชนก้าวหน้า
พวกอนุรักษ์นิยมก็คือพวกนิยมกษัตริย์ ที่มุ่งจะรักษาสถานะของกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิ์ ปกป้องศาสนจักร  และรักษาอภิสิทธิ์ของชนชั้นขุนนางและเจ้าที่ดินยุโรปก่อน ค.ศ.๑๘๔๘ นั้น พวกอนุรักษ์นิยมยังทรงอิทธิพลมาก เพราะระบบการเมืองของประเทศต่างๆ ส่วนมากยังอยู่ภายใต้ระบอบราชาธิปไตยที่กษัตริย์มีอำนาจสมบูรณ์ โดยมีพระเจ้าซาร์แห่งรุสเซียนิโคลัสที่ ๑ เป็นประธานของพลังอนุรักษ์นิยมปฏิกิริยา และมีผู้ร่วมมือสำคัญ คือ จักรพรรดิฟรานซิสที่ ๒ แห่งออสเตรีย และกษัตริย์เฟรเดอริดที่ ๔ แห่งปรัสเซีย กษัตริย์ทั้งสามได้ร่วมกันในองค์กร "พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อธำรงรักษาแบบแผนเดิมหรือระบอบเก่าของยุโรป และต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยมีอัครเสนาบดีของออสเตรีย คือ เมตแตร์นิค เป็นผู้ประสานและดำเนินงาน ดังนั้นจึงเรียกระบบการเมืองของยุโรปในสมัยนี้ว่า "ระบบเมตแตร์นิค" (Metternich)
การที่ออสเตรียมีบทบาทมากก็เป็นเพราะอำนาจของราชวงศ์ฮับสเบิร์ก ออสเตรีย ยังคงปกคลุมดินแดนต่างๆ หลายแห่งในยุโรป ตั้งแต่ในอิตาลี เวนิส ดัลมาเชีย ฮังการี โครเอเธีย โบเฮเมีย และยังมีอิทธิพลเหนือรัฐเยอรมันต่างๆ ซึ่งมี ๓๙ รัฐ คู่แข่งสำคัญของออสเตรียก็คือ ปรัสเซีย ที่พยายามสร้างอำนาจเหนือรัฐเยอรมันเช่นกัน
สำหรับในกรณีของฝรั่งเศส เป็นยุคของกษัตริย์หลุยส์ฟิลิปแห่งราชวงศ์ออร์ลีอัง ซึ่งแม้ว่าจะปกครองประเทศในระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ แต่ก็มีแนวโน้มในทางอนุรักษ์นิยมเช่นกัน โดยเฉพาะ กิโซต์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ก็เป็นหัวหน้ากลุ่มอนุรักษ์นิยม แนวคิดของพวกอนุรักษ์นิยมที่ต้องการรักษาสถานะของระบบเก่า เห็นได้จากคำอธิบายของเอ็ร์ดมัน เบิร์ก (Edmund Berg) นักคิดคนสำคัญของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่กล่าวว่า สถาบันกษัตริย์ รัฐ สังคม กฎหมาย ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเป็นสถาบันสำคัญในการรักษาอำนาจและระเบียบสังคม ราษฎรจึงไม่มีสิทธิ์ก่อกบฏ เพราะจะก่อให้เกิดความไร้เสถียรภาพและวุ่นวาย ดังนั้นกษัตริย์มีความชอบธรรมในการปกครองทั้งจากเทวสิทธิที่รับจากพระเจ้า และจากเหตุผลการดำรงอยู่ของรัฐ
สำหรับกลุ่มปัญญาชนก้าวหน้าจะมีทั้งกลุ่มเสรีนิยม (Liberalism) และกลุ่มสังคมนิยม ทั้งสองกลุ่มต่างก็เป็นทายาทของการปฏิวัติฝรั่งเศส โดยต่างมีเห็นร่วมกันว่า ระบอบกษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม พวกเสรีนิยมมีความต้องการจำกัดอำนาจกษัตริย์ มีการประกันสิทธิประชาชนด้วยรัฐธรรมนูญ ต้องการแบ่งแยกอำนาจให้มีระบบรัฐสภาและการเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม ต้องการให้มีสิทธิเสรีภาพทางการพูด การเขียน การแสดงความเห็น มีเสรีภาพทางศาสนา และมีเศรษฐกิจแบบเสรีเป็นไปตามธรรมชาติ  ฝ่ายเสรีนิยมแบ่งเป็น ๒ กลุ่มคือ กลุ่มนิยมระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ และกลุ่มสนับสนุนระบอบสาธารณรัฐ
สำหรับกลุ่มสังคมนิยม มิได้ต้องการเพียงเสรีภาพทางการเมือง แต่ต้องการความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมากพวกสังคมนิยมจะมีความเห็นร่วมกันว่าสังคมเก่า มีความไม่เท่าเทียมกันในทางเศรษฐกิจ มีการกดขี่ขูดรีดและเอารัดเอาเปรียบระหว่างมนุษย์ และเห็นว่ากรรมสิทธิ์เอกชนนั้นเป็นที่มาของการขูดรีด กลุ่มสังคมนิยมจึงต้องการเสนอให้สร้างสังคมใหม่ที่มนุษย์จะมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และมีกรรมสิทธิ์ส่วนรวม
มาร์กซ เป็นหนึ่งในกลุ่มปัญญาชนสังคมนิยม เขาเสนอการวิเคราะห์สังคมเก่าด้วยทฤษฎีชนชั้น และเสนอให้สร้างสังคมใหม่ โดยการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ มาร์กซจึงสนับสนุนการจัดตั้งชนชั้นกรรมกร เพื่อจะดำเนินการให้การปฏิวัติสังคมนิยมปรากฏเป็นจริง การปฏิวัติ ค.ศ.๑๘๔๘ เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้
อันที่จริงตัวเร่งของการปฏิวัติคือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในยุโรป ใน ค.ศ. ๑๘๔๖ ทำให้ราคาสินค้าอาหารคือขนมปังและมันฝรั่ง มีราคาแพงทั้งในฝรั่งเศสและในรัฐเยอรมนี ทำให้เกิดความอดอยากทั่วไป อำนาจซื้อของประชาชนลดต่ำลงจนทำให้กิจการต่าง ๆ ประสบภาวะขาดทุน ต้องปิดตัวลงจำนวนมากใน ค.ศ. ๑๘๔๗ ภาวะเศรษฐกิจยิ่งเลวร้ายลง และส่งผลกระทบทั่ว ยุโรป คนว่างงานยิ่งทวีมากขึ้น จึงก่อให้เกิดความไม่พอใจทั่วไป
ดังนั้น ในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๘๔๘  การปฏิวัติจึงเกิดขึ้นก่อนที่เมืองปาเลโม ในซิซิลี ประชาชนลุกฮือขึ้นปฏิวัติและขยายไปทั่วอาณาจักรเนเปิล จนในที่สุดกษัตริย์เฟอร์ดินานที่ ๒ ของเนเปิลก็ถูกบีบให้พระราชทานรัฐธรรมนูญ
ต่อมาในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๘๔๘ เกิดการชุมนุมครั้งใหญ่ของประชาชนในกรุงปารีส เพื่อต่อต้านกษัตริย์หลุยส์ฟิลิป ปรากฏว่ารัฐบาลรัฐบาลกีโซต์สั่งปราบ เกิดการปะทะกันจนมีผู้เสียชีวิต ๑๖ คน ประชาชนจึงลุกฮือขึ้นสู้ มีการตั้งป้อมกลางถนนขึ้นทั่วไปในปารีส  เมื่อการต่อต้านกษัตริย์ขยายตัวออกไปจนรัฐบาลไม่อาจคุมสถานการณ์ไว้ได้ กองทหารที่ส่งไปปราบ ก็ไปเข้าร่วมกับฝ่ายประชาชน ในที่สุดวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พระเจ้าหลุยส์ฟิลิปต้องยอมสละราชสมบัติและหนีไปลี้ภัยในอังกฤษ กลุ่มผู้นำปฏิวัติจึงตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นบริหารประเทศ โดยประกาศให้ฝรั่งเศสเป็นสาธารณรัฐที่ ๒ในการปฏิวัติครั้งนี้ กลุ่มสังคมนิยมของฝรั่งเศสนำโดยมีอัลฟองโซ เดอ ลามาร์ทีน และ หลุยส์ บลังก์  ก็เข้าร่วมด้วย
เมื่อเกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศสแล้ว กระแสปฏิวัติก็เผยแพร่ไปยังประเทศอื่นอย่างรวดเร็ว  ในวันที่ ๑๑ มีนาคม ค.ศ. ๑๘๔๘ เกิดการเดินขบวนครั้งใหญ่ของประชาชนในเมืองปราก แคว้นโบฮีเมียของออสเตรีย ต่อมาวันที่ ๑๓ มีนาคม  เกิดการปฏิวัติในกรุงเวียนนา เมืองหลวงของอาณาจักรออสเตรีย ประชาชนลุกฮือขึ้นประท้วง และมีการตั้งป้อมกลางถนนขึ้นจำนวนมากเพื่อต่อต้านทหารฝ่ายรัฐบาล จนเสนาบดีเมตเตอร์นิคต้องสละตำแหน่งและปลอมตัวหนีออกจากเมือง จึงเป็นการสิ้นอำนาจของเมตเตอร์นิกตั้งแต่นั้น  ดังนั้นจักรพรรดิเฟอร์ดินานแห่งออสเตรียจึงต้องยอมผ่อนกระแส โดยสัญญาว่าจะให้มีรัฐธรรมนูญและมีรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง และประกาศให้มีการยกเลิกระบบทาสกสิกรทั่วราชอาณาจักร
หลังจากนั้น การปฏิวัติก็ขยายไปทั่วทั้งในอาณาจักรออสเตรียและรัฐเยอรมนี โดยเฉพาะในฮังการี การปฏิวัติเกิดขึ้นในวันที่ ๑๕ มีนาคม ผู้นำการปฏิวัติคือ  หลุยส์ คอสซุธ ได้ประนามระบบเมตแตอร์นิกในสภาฮังการี และผลักดันให้สภาตั้งเป็นสภาแห่งชาติ แล้วออกกฎหมายเดือนมีนาคม(March Laws)แยกฮังการีเป็นอิสระ แต่ยังอยู่ภายใต้กษัตริย์ราชวงศ์ฮับสเบิร์ก  จักรพรรดิออสเตรียไม่มีกำลังไปปราบปรามจึงต้องยินยอม นอกจากนี้ยังมีการปฏิวัติเกิดขึ้นที่เมืองเวนิสและที่มิลาน นำมาสู่การประกาศเอกราชของเมืองทั้งสอง โดยที่เวนิสนั้นมีประกาศเป็นสาธารณรัฐที่เมือง คราคอฟ ในแคว้นกาลีเซียของออสเตรียก็เกิดการปฏิวัติเพื่อแยกกาลีเซียเป็นเขตปกครองตนเอง 
ส่วนในกลุ่มรัฐเยอรมนี กลุ่มสังคมนิยมและเสรีนิยมต่างก็ก่อการปฏิวัติขึ้นในหลายรัฐ เช่นวันที่ ๔ มีนาคม เกิดการปฏิวัตที่มิวนิกเมืองหลวงของบาวาเรีย แม้กระทั่งในปรัสเซียก็เกิดการปฏิวัติขึ้นในแคว้นไรน์ ในวันที่ ๓ มีนาคม และต่อมาในวันที่ ๑๘ มีนาคม การปฏิวัติก็ลุกลามไปถึงกรุงเบอร์ลิน โดยประชาชนพากันเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย และตั้งป้อมกลางถนนขึ้น  ในที่สุดพระเจ้าเฟรเดอริดที่ ๔ แห่งปรัสเซีย ต้องยอมผ่อนปรนโดยการพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่เป็นรัฐธรรมนูญอภิชนที่ยังคงอำนาจไว้ที่กษัตริย์ และยังไม่ได้ให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากนัก
จากนั้นในเดือนพฤษภาคม กลุ่มเสรีนิยมเยอรมันจากรัฐต่าง ๆ ก็มาประชุมกันที่เมืองแฟรงเฟิร์ต แล้วตั้งเป็นสภาแห่งชาติเยอรมนี เรียกร้องให้มีการรวมรัฐต่าง ๆ เข้าเป็นสหพันธรัฐเยอรมนี ด้วยระบอบการเมืองแบบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีรัฐธรรมนูญ มีเสรีภาพ และการเลือกตั้ง กลุ่มนี้เสนอให้เชิญให้พระเจ้าเฟรเดริดที่ ๔ มาเป็นจักรพรรดิเยอรมนี แต่พระเจ้าเฟรเดอริดที่ ๔ ยังไม่เต็มใจ พระองค์เรียกตำแหน่งจักรพรรดิที่สภาแห่งชาติแฟรงเฟิร์ตมาเสนอให้ว่าเป็น "มงกุฎจากข้างถนน"
กระแสแห่งการปฏิวัตินี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของมาร์กซ  ซึ่งเมื่อเกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศสเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๘๔๘ นั้น  มาร์กซ ยังอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ข่าวการปฏิวัติจากฝรั่งเศสมาถึงบรัสเซลส์ในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๘๔๘ และนำมาซึ่งการเคลื่อนไหวปฏิวัติในเบลเยี่ยมด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเบลเยี่ยมยังควบคุมสถานการณ์ได้ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ รัฐบาลเบลเยี่ยมเริ่มทำการจับกุมกลุ่มก้าวหน้า พร้อมทั้งเตรียมการที่จะเนรเทศนักปฏิวัติลี้ภัยที่อยู่ในบรัสเซลส์รวมทั้งมาร์กซ
ก่อนหน้านี้ มาร์กซ เพิ่งได้รับมรดกจากมารดาเป็นเงิน ๖๐๐๐ ฟรังค์ ทำให้ทางการตำรวจเบลเยี่ยมสงสัยว่า มาร์กซจะใช้เงินจำนวนนี้สนับสนุนการปฏิวัติ  จึงได้ทำการจับกุม มาร์กซ ในวันที่ ๔ มีนาคม และในที่สุด ทางการเบลเยียมก็เนรเทศ มาร์กซและครอบครัวมายังกรุงปารีสในวันที่ ๕ มีนาคม
เมื่อมาร์กซมาถึงปารีสนั้น ยังอยู่ในช่วงหลังปฏิวัติ ร่องรอยของป้อมกลางถนนยังอยู่ตามถนนสายต่าง ๆ ในปารีส และธงสามสีซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการปฏิวัติฝรั่งเศสยังประดับอยู่ทั่วไปควบคู่กับธงแดงของฝ่ายสังคมนิยม   เมื่อ มาร์กซ มาถึงก็เข้าร่วมการเคลื่อนไหวปฏิวัติทันที เขาเข้าร่วมประชุมกับสมาคมสิทธิมนุษยชนฝรั่งเศส ซึ่งเป็นองค์กรสำคัญที่มีส่วนในการปฏิวัติ จากนั้น มาร์กซ และกลุ่มเพื่อนก็ตั้งองค์กรคนงานเพื่อเตรียมการปฏิวัติในเยอรมนี โดยพยายามรวบรวมคนงานชาวเยอรมันที่ทำงานอยู่ในปารีส ได้มีการเปิดประชุมสันนิบาติคอมมิวนิสต์ในกรุงปารีสในวันที่ ๑๐ มีนาคม ปรากฏว่าที่ประชุมได้เลือก มาร์กซ เป็นประธาน และเตรียมการที่จะออกหนังสือพิมพ์ปฏิวัติในฝรั่งเศส เพื่อที่จะส่งไปเผยแพร่ในเยอรมนี
วันที่ ๑๙ มีนาคม ข่าวการปฏิวัติในออสเตรียก็มาถึง และหลังจากนั้น ก็ติดตามมาด้วยข่าวการปฏิวัติในปรัสเซีย ซึ่งก่อให้เกิดความตื่นเต้นยินดีอย่างมากในหมู่ชาวเยอรมันในปารีส   มาร์กซ และกลุ่มสหายนักปฏิวัติในสันนิบาตคอมมิวนิสต์ จึงตัดสินใจเดินทางกลับเพื่อไปร่วมการปฏิวัติในดินแดนเยอรมนี
เอกสารสำคัญที่ชาวสันนิบาตนำติดมือไปก็คือ "แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์" ของมาร์กซและเองเกลส์ และอีกฉบับหนึ่งเป็นเอกสารนโยบาย ๑๐ ข้อ ซึ่งมีข้อเรียกร้องให้โอนกิจการธนาคารเข้าเป็นของรัฐ เก็บภาษีรายได้ในอัตราก้าวหน้า จำกัดสิทธิในด้านมรดก ยกเลิกพันธสัญญาในที่ดินแบบศักดินา และจัดการศึกษาฟรีให้กับประชาชน
สำหรับ มาร์กซ ออกเดินทางจากปารีสต้นเดือนเมษายน ไปยังเมืองโคโลญ โดยมีเองเกลส์ร่วมเดินทางไปด้วย นอกจากนี้ก็คือ เอิร์นสก์ ดรองเก(Ernst Dronke) สมาชิกสันนิบาตคอมมิวนิสต์อีกคนหนึ่ง คณะเดินทางของ มาร์กซ หยุดที่เมืองเมนซ์ ๒ วัน เมืองนี้อยู่ในเขตไรน์แลนด์ และอยู่นอกเขตปรัสเซีย  มาร์กซ ได้เรียกประชุมสมาคมกรรมกร และเรียกร้องให้องค์กรกรรมกรทั่วเยอรมนีรวมตัวกันเพื่อผลักดันการปฏิวัติ
มาร์กซ และคณะมาถึงเมืองโคโลญในวันที่ ๑๐ เมษายน สำหรับเจนนี และลูกของมาร์กซ ได้แวะเยี่ยมบ้านเดิมที่เมืองเทรียส์ และเดินทางมาร่วมกับ มาร์กซ ที่เมืองโคโลญจน์ภายหลัง เมืองโคโลญในขณะนั้นเป็นเมืองใหญ่อันดับสามในรัฐปรัสเซีย มีประชากรราวแสนคน และอยู่ในเขตที่มีการพัฒนา อุตสาหกรรมมากที่สุดในแว่นแคว้นเยอรมนี ในเมืองนี้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อนเช่นกัน โดยมีผู้นำสำคัญเช่น อันดรีส กอตต์ชอลก์ (Andreas Gottschalk) ออกุส วิลลิช(August Willich) และ ฟรีดริช อันเนเก (Freidrich Anneke)

ในวันที่ ๓ มีนาคม ค.ศ. ๑๘๔๘ ประชาชนชาวโคโลญได้มีการเคลื่อนไหวปฏิวัติเป็นแห่งแรกในปรัสเซีย โดยประชาชนนับหมื่นคนมาชุมนุมกันที่ศาลาว่าการเมือง กอตต์ชอลก์กับวิลลิช ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยให้มีรัฐธรรมนูญและระบบรัฐสภา ให้ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้ง ให้มีเสรีภาพทางด้านหนังสือพิมพ์และการตั้งสมาคม และให้รัฐประกันการว่างงานและจัดการศึกษาฟรีให้ประชาชน ปรากฏว่าทางการตำรวจโคโลญได้จับกุมคุมขังกลุ่มผู้นำการประท้วง แต่ต่อมาในวันที่ ๒๐ มีนาคม ก็ต้องปล่อยตัว เพราะเกิดการปฏิวัติในเบอร์ลิน และรัฐบาลปรัสเซียปรับเปลี่ยนนโยบาย ให้เสรีภาพและปฏิรูปการเมือง
เมื่อได้รับการปล่อยตัว กอตต์ชอลก์ได้ตั้งสมาคมคนงานโคโลญขึ้น ปรากฏว่าสมาคมขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีกรรมกร และคนว่างงานจำนวนมากเข้าร่วม จนในที่สุดมีสมาชิกถึง ๘๐๐๐ คน  แต่กรรมกรโรงงานยังมีน้อย ส่วนมากเป็นช่างฝีมือและพ่อค้าย่อย เมื่อ มาร์กซ มาถึง การเคลื่อนไหวกรรมกรในโคโลญเป็นไปอย่างแข็งขัน กอตต์ชอลก์จึงแนะนำให้มาร์กซ ไปเคลื่อนไหวต่อที่เบอร์ลิน หรือไม่ก็ลงสมัครผู้แทนราษฎรที่เมืองเทรียส์ซึ่งเป็นบ้านเดิม
ความจริงแล้วกอตต์ชอลก์มีความเห็นไม่ตรงกับมาร์กซ เขาเป็นเพื่อนสนิทของโมเสส เฮสส์ ซึ่งมีแนวคิดประนีประนอมกับฝ่ายศาสนา นอกจากนี้กอตต์ชอลก์ยังไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติทางการเมือง เขาสนใจสิทธิของกรรมกรเพียงข้อเรียกร้องทางเศรษฐกิจ ที่จะปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่และประกันการว่างงานของกรรมกรเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงยอมรับได้กับระบอบ "กษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญที่มีรากฐานคุณธรรมคริสต์"
แต่ประเด็นเฉพาะหน้าของกอตต์ชอลก์และ มาร์กซ ก็คือ ปัญหาที่ว่าควรจะเข้าร่วมในระบอบรัฐสภาของปรัสเซียที่กำลังจัดให้มีการเลือกตั้งหรือไม่ และควรที่จะเข้าร่วมกับสภาแห่งชาติที่เมืองแฟรงเฟิร์ตหรือไม่ แม้ว่ากอตต์ชอลก์จะมีแนวโน้มสายกลางเช่นนั้น เขาก็ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งทางอ้อมที่รัฐเยอรมันหลายรัฐจัดขึ้น เพราะการเลือกตั้งลักษณะเช่นนั้นเป็นการตัดสิทธิ์กรรมกรและคนยากจน แต่มาร์กซเห็นว่า แม้แนวโน้มการปฏิวัติที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะเป็นการปฏิวัติของชนชั้นกระฎุมพี แต่ชนชั้นกรรมกรจะต้องเข้าร่วมผลักดัน เพื่อช่วงชิงผลที่ได้มาให้เป็นของชนชั้นตน และจะทำให้ขบวนการกรรมกรไม่โดดเดี่ยว อีกทั้งยังสร้างความสามัคคีกับกลุ่มปฏิวัติอื่นๆ มาร์กซจึงได้เสนอให้ยุบสันนิบาติคอมมิวนิสต์ลง ทั้งนี้เนื่องจากการที่การปฏิวัติขยายตัวทั่วเยอรมนี สมาชิกของสันนิบาตต่างก็เข้าร่วมการเคลื่อนไหวเปิดเผยกับองค์กรอื่น ๆ ทำให้สันนิบาตซึ่งเริ่มตั้งจากชาวเยอรมันลี้ภัยนอกประเทศ ดำเนินการต่อไปได้ยาก และ มาร์กซ ยังเห็นว่า ข้อเรียกร้องของสันนิบาตยังรุนแรงเกินไป ยังไม่เหมาะกับภาวะแห่งการปฏิวัติกระฎุมพี ซึ่งยังจะต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มกษัตริย์นิยมและพวกอนุรักษ์นิยมอื่นๆ
1สาธารณรัฐครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. ๑๗๙๑ หลังการปฏิวัติฝรั่งเศสครั้งแรก และการโค่นกษัตริย์หลุยสฺ์ที่ ๑๖ แห่งราชวงศ์บรูบอง สาธารณรัฐครั้งนั้นสิ้นสุดลงเมื่อ นโปเลียน โปนาปาร์ต ประกาศตั้งตนเป็นจักรพรรดิ

คาร์ลมาร์กซ: จากปารีสสู่บรัสเซล
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
หลังจากนี้เงื่อนไขต่างๆ พร้อมมาร์กซและรูเกก็พยายามผลักการออกวารสารจาบูเชอร์    ด้วยเผยแพร่แนวคิดเสรีนิยมฝรั่งเศสในเขตเยอรมนีเพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในรัฐต่าง ๆ ของเยอรมัน และเพื่อการเชื่อมประสานกับนักคิดสังคมนิยมฝรั่งเศส ในระยะแรกรูเกได้พยายามชักชวนนักเขียนฝ่ายฝรั่งเศสเขียนบทความมาร่วม แต่ไม่ประสบผล ในที่สุดวารสารจาบูเชอร์ ก็ได้ออกฉบับแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๘๔๔ ซื่งมีเนื้อหาสาระไปในทางสังคมนิยมอย่างมาก และเรียกร้องให้เกิดการปฏิวัติในดินแดนเยอรมนี บทความและจดหมายที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร ส่วนมากเป็นงานเขียนของมาร์กซ ที่สำคัญก็คือ ว่าด้วยปัญหายิว และ บทนำเรื่องปรัชญาว่าด้วยสิทธิของเฮเกล นอกจากนี้ก็มีบทความที่ฟรีดริช เองเกลส์เขียนมาลง เช่นเรื่อง หัวข้อสำคัญว่าด้วยการวิพากษ์เศรษฐศาสตร์การเมือง ซึ่งเป็นบทความที่มาร์กซเห็นว่า เขียนได้ดีมาก
ปรากฏว่าวารสารจากบูเชอร์ถูกห้ามเผยแพร่ทันทีในปรัสเซีย และมีการตรวจยึดวารสารนี้จำนวนมากในบริเวณพรมแดน ในขณะลอบนำเข้าจากฝรั่งเศสสู่ปรัสเซีย นอกจากนี้ รัฐบาลปรัสเซียได้ออกหมายจับกองบรรณาธิการอันได้แก่ คาร์ล มาร์กซ  อาโนลด์ รูเก และ ไฮน์ริช ไฮน์ ทำให้มาร์กซ ต้องมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยการเมืองครั้งแรกในฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตามวารสารนี้นี้ก็ประสบความสำเร็จน้อยมาก แม้กระทั่งกลุ่มที่ก้าวหน้าในฝรั่งเศสไม่ได้ให้ความสนใจ และในที่สุด จูเลียส โฟรเบลก็ขอถอนตัว ซึ่งเป็นเพราะเขาไม่ต้องการเสียเงินเพิ่มจากการทำวารสาร ซึ่งมีผลสะเทือนน้อยเกินไป นอกจากนี้ โฟรเบลยังไม่เห็นด้วยกับแนวหนังสือที่โน้มไปในทางปฏิวัติสังคมมากเกินไป
แต่ปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของวารสารจาบูเชอร์มาจากการขัดแย้งระหว่างมาร์กซ กับ รูเกเนื่องจากรูเกล้มป่วยในระหว่างการจัดทำ มาร์กซกลายเป็นบุคคลหลักในการผลักดันและกำหนดเนื้อหาของวารสาร เมื่อรูเกฟ้น จากการป่วย วารสารได้ออกเผยแพร่ไปแล้วทำให้รูเกไม่พอใจ และเห็นว่า วารสารไม่ได้ออกตามแนวที่ตนต้องการ และที่รูเกไม่เห็นพ้องอย่างมากคือการที่ มาร์กซ กลายเป็นนักสังคมนิยมมากขึ้น และเริ่มใช้คำว่า คอมมิวนิสต์ ในงานเขียนของเขา ในขณะที่รูเกมีความเห็นโน้มเอียงไปในทางปฏิรูป ต้องการให้เยอรมนีเป็นรัฐประชาธิปไตย ไม่ต้องการการปฏิวัติของกรรมาชีพ และไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเรื่องคอมมิวนิสต์ ดังนั้นเมื่อวารสารประสบปัญหาทั้งในด้านการเงิน และความขัดแย้งในกองบรรณาธิการ จึงได้ปิดตัวลงหลังจากที่ออกได้ฉบับเดียว
ความขัดแย้งทางความคิด ระหว่างมาร์กซกับรูเก ยังเห็นได้ชัดเมื่อเกิดกรณีการก่อการจลาจลในแคว้นไซลีเซียของปรัสเซีย ทั้งนี้เนื่องจากกรรมกรทอผ้าในไซลีเซีย นับพันคนได้นัดหยุดงานครั้งใหญ่ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.๑๘๔๔ และได้บุกเข้าไปทำลายเครื่องจักร     รุ่นใหม่ที่จะเอามาใช้ในการผลิต ทั้งนี้เพราะกรรมกรเห็นว่า การนำเครื่องจักรเหล่านี้จะนำมาซึ่งการจ้างงานน้อยลง ซึ่งจะทำให้กรรมกรตกงาน หรือถูกบีบให้ลดค่าจ้างแรง งานลง ปรากฏว่ารัฐบาลปรัสเซีย ของกษัตริย์เฟรเดอริกวิลเฮล์ม      ที่ ๔ ได้ใช้ความรุนแรงปราบปรามกรรมกรอย่างป่าเถื่อน รูเกได้เขียนบทความเรื่อง กษัตริย์ปรัสเซียและการปฏิรูปสังคม วิจารณ์การกระทำของรัฐบาลปรัสเซียลงในหนังสือพิมพ์วอร์วาท ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ของชาวเยอรมันลี้ภัย โดยรูเกไม่เห็นด้วยกับการปราบปราม แต่ก็ไม่เห็นว่า การต่อสู้ของกรรมกรเยอรมันจะบรรลุผล โดยอธิบายว่า การต่อสู้ของกลุ่มกรรมกรไซลีเซีย ไม่มีความสำคัญใดๆ ทั้งนี้เพราะการปฏิวัติสังคมในเยอรมนีไม่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากเยอรมนีมี   รากฐานจิตสำนึกทางการเมืองที่ ล้าหลังเกินไป การปฏิวัติทางสังคมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเกิดการปฏิวัติทางการเมืองแบบประชาธิปไตยแล้ว เช่นที่เกิดในอังกฤษและฝรั่งเศส
 มาร์กซได้นำประเด็นนี้มานำเสนอเช่นกัน โดยเขียนบทความเรื่อง วิจารณ์บทความเรื่องกษัตริย์ปรัสเซียและการปฏิรูปสังคม ลงในหนังสือพิมพ์วอร์วาท  ปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ.๑๘๔๔ มาร์กซให้ความสำคัญแก่การกบฏของชนชั้นกรรมกรในครั้งนี้อย่างมาก โดยเปรียบเทียบกับการลุกขึ้นสู้ในลักษณะเดียวกันของชนชั้นกรรมกรอังกฤษ ประเด็นสำคัญที่มาร์กซ เห็นแตกต่างจากรูเกก็คือ การปฏิวัติทางการเมืองและสังคมไม่สามารถจะแยกจากกันได้ โดยอธิบายว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า จิตสำนึกทางการเมือง ที่เป็นกลางของสังคม มีแต่จิตสำนึกทางชนชั้น ที่สังกัดชนชั้นหนึ่ง ในการต่อสู้ของกรรมกรไซลีเซียได้ชี้ให้เห็นจิตสำนึกทางชนชั้นที่สูงเด่น และเป็นหลักฐานชี้ให้เห็นว่า ชนชั้น กรรมาชีพเยอรมนีนั้น สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้ มาร์กซสรุปว่า
การปฏิวัติทุกครั้งเป็นการปฏิวัติสังคม ตราบเท่าที่มันได้รื้อทำลายสังคมเก่าลง
การปฏิวัติทุกครั้งเป็นการปฏิวัติทางการเมือง ตราบเท่าที่มันทำลายอำนาจทางการเมืองแบบเก่า
การปฏิวัติโดยทั่วไปถือเป็นการดำเนินการทางการเมือง จากการที่มันโค่นอำนาจทั้งปวงที่ดำรงอยู่ และล้มเลิกความสัมพันธ์แบบเดิมทั้งหมดที่เคยมีมาแต่สังคมนิยมไม่อาจปรากฏเป็นจริงได้ ถ้าหากไม่มีการปฏิวัติ
แม้ว่าวารสารจูบาเชอร์จะปิดตัว และความสัมพันธ์ระหว่างมาร์กซ กับรูเกจะเสื่อมลง แต่มาร์กซยังคงรักษามิตรภาพอันดีกับไฮน์ริช ไฮน์ ซึ่งกลายเป็นแขกมาเยี่ยมและสนทนากับมาร์กซเสมอ ไฮน์เป็นกลุ่มนักคิดสังคมนิยมแบบแซงซิ-มองต์ และชื่นชมสังคมนิยมฝรั่งเศส ในขณะที่มาร์กซก็สนใจและศึกษาสังคมนิยมฝรั่งเศสอย่างมาก นอกจากนี้กลุ่มเพื่อนที่สนิทกับมาร์กซ ระหว่างอยู่ปารีสก็คือ หลุย บลอง  ปิแอร์ ปรูดอง และ ไมเคิล บากูนิน ซึ่งทั้งหมดเป็นนักคิดสังคมนิยม เช่นกัน
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.๑๘๔๔ มาร์กซก็ได้ลูกคนแรกเป็นหญิง ซึ่งมาร์กซให้ชื่อว่า เจนนี เช่นกัน ภรรยาของมาร์กซได้นำเอาลูกสาวคนแรกนี้กลับไปยังเมืองเทรียร์เป็นเวลา ๒ เดือน เพื่อไปให้แม่ของเธอและญาติของมาร์กซได้เห็น ในระหว่างที่ภรรยาไม่อยู่ มาร์กซได้ใช้เวลาในปารีสค้นคว้าเศรษฐศาสตร์การเมืองอย่างหนัก แล้วเรียบเรียงหนังสือชื่อ ต้นร่างปรัชญาและเศรษฐศาสตร์ (Economic and Philosophical Manuscripts) ในหนังสือเล่มนี้ มาร์กซได้ให้ความหมายด้านที่เป็นแนวคิดมนุษยธรรมของลัทธิสังคมนิยม และอธิบายรากฐานของเศรษฐศาสตร์การเมืองที่เป็นหัวใจของทุนนิยม เช่นเรื่อง ค่าจ้างแรงงาน ที่ดิน ทุน ความสัมพันธ์ระหว่างทุนและแรงงาน และ กำไร เป็นต้น นอกจากนี้ หนังสือนี้ยังได้เสนอข้ออภิปรายเกี่ยวกับกรรมสิทธิเอกชน และให้คำอธิบายเกี่ยวกับลักษณะทางประวัติศาสตร์ ทางสังคมและการเมืองของคอมมิวนิสต์ ในส่วนสุดท้ายของหนังสือ ก็เป็นส่วนของการวิจารณ์รากฐานปรัชญาของเฮเกล ปรากฏว่าหนังสือนี้ไม่ได้รับการตีพิมพ์จนกระทั่ง ค.ศ.๑๙๓๒ แต่กระนั้น ก็เป็นที่เข้าใจว่า หนังสือเล่มนี้คือรากฐานที่จะนำไปขยายเป็นเรื่อง ทุน(Kapital) ซึ่งจะเป็นหนังสือเล่มสำคัญของมาร์กซต่อไป
 นอกจากการค้นคว้าเพื่อเขียนหนังสือนี้แล้ว ระหว่างที่อยู่ที่ปารีสนี้เอง ที่มิตรภาพระหว่างมาร์กซ และเองเกลส์กระชับแน่นแฟ้น และทำให้คนทั้งสองกลายมาเป็นมิตรสนิทกันอย่างยิ่งต่อมา เองเกลส์นั้น เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ค.ศ.๑๘๒๐ ที่เมืองบาร์เมน ในแคว้นรูห์ของปรัสเซีย เขาเป็นลูกชายคนโตของนักธุรกิจที่ร่ำรวย บิดาของเขาเปิดโรงงานปั่นด้ายที่บาร์เมน และต่อมาก็ได้ไปเปิดโรงงานอีกแห่งที่เมืองแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ เองเกลส์ได้รับการศึกษาอย่างดี และได้มีประสบการณ์ในการทำงานใน  โรงงานของบิดาด้วยเช่นกัน เมื่อเริ่มเป็นหนุ่มเขาชอบเขียนกลอน และใช้เวลาในการเขียนกลอนมากยิ่งกว่ามาร์กซ จนใน ค.ศ.๑๘๓๘ เขาถูกส่งมาบริหารงานโรงงานที่บาร์เมน ในระยะนี้เองที่เองเกลส์เริ่มได้รับอิทธิพลแนวคิดเสรีนิยมจากกลุ่มเยาวชนลัทธิเฮเกล และได้อ่านหนังสือพิมพ์ไรช์ ใน ค.ศ.๑๘๔๒ เขาได้ย้ายกลับไปรับผิดชอบงานที่แมนเชสเตอร์ ระหว่างทางเขาจึงได้แวะเยี่ยมบรรณาธิการวารสารไรน์ และพบกับมาร์กซมาแล้ว แต่การพบกันในครั้งนั้น ยังไม่ได้ทำให้คนทั้งสองคุ้นเคยกัน เมื่อกเองเกลส์ลับไปยังอังกฤษ เขาก็สนใจปรัชญาของฟอยเออร์บาคเช่นกัน และยังเขียนบทความมายังหนังสือพิมพ์ไรช์เสมอ จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ถูกปิด ก็ได้เขียนบทความมายังจาบูเชอร์ต่อ นอกจากนี้ ยังได้เตรียมข้อมูลเขียนเรื่อง สถานะของชนชั้นกรรมกรในอังกฤษ ด้วย
 เองเกลส์เดินทางมายังปารีสปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ.๑๘๔๔ และพบกับมาร์กซที่ร้านกาแฟชื่อ คาเฟ่เดอลาเรเจนเซ่ ในวันที่ ๒๘ สิงหาคม จากนั้น ทั้งสองคนเริ่มงานค้นคว้าและเขียนบทความร่วมกัน คือเรื่อง วิพากษ์ ว่าด้วยการวิพากษ์เกณฑ์สำคัญ เพื่อวิพากษ์ความคิดของบรูโน บาวเออร์ เพราะแม้ว่าบาวเออร์จะมาจากกลุ่มเฮเกลฝ่ายซ้าย และคัดค้านแนวคิดจิตนิยมของเฮเกล แต่บาวเออร์ก็เชื่อว่า ประวัติศาสตร์สร้างโดยผู้นำ หรือคนที่มีลักษณะพิเศษ มาร์กซ และเองเกลส์คัดค้านความคิดเช่นนี้ และยืนยันว่า ชนชั้นกรรมาชีพคือ ผู้สร้างประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง

ในระหว่างนี้ รัฐบาลปรัสเซีย ได้บีบคั้นกลุ่มเยอรมันลี้ภัย โดยพยายามที่จะเสนอให้ฝรั่งเศสจับกุมตัวมาร์กซ และ ชาวเยอรมันก้าวหน้าอื่น ๆ แล้วส่งตัวให้ปรัสเซียในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ดังนั้น ในวันที่ ๒๕ มกราคม ค.ศ.๑๘๔๕ กิโซต์ นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศสจึงสั่งปิดหนังสือพิมพ์วอร์วาท  และสั่งเนรเทศผู้นำกลุ่มผู้นำเยอรมันลี้ภัย เช่น มาร์กซ เฮนริช ไฮน์ และ อาร์โนล รูเก ดังนั้น วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ มาร์กซ จึงออกเดินทางจากปารีสมายังเมืองลิเอจในเบลเยี่ยม และเดินทางต่อไปยังกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของประเทศ โดยมีผู้ร่วมเดินทางคือ ไฮน์ริช บูร์เกอร์(Heinrich Burgers) นักหนังสือพิมพ์ฝ่ายก้าวหน้าอีกคนหนึ่ง
กรุงบรัสเซลส์ เมื่อ ค.ศ.๑๘๔๕  ยังคงเป็นเมืองเล็ก แต่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในด้านอุตสาหกรรม ประเทศเบลเยี่ยมเพิ่งจะได้เอกราชโดยแยกตัวมาจากเนเธอแลนด์เมื่อ ค.ศ.๑๘๓๐ อำนาจทางการเมืองในเบลเยี่ยมยังอยู่ในมือของกลุ่มอนุรักษ์นิยม โดยมีพรรคเสรีนิยมเป็นฝ่ายค้านที่สำคัญ แต่กระนั้น เบลเยี่ยมก็เป็นสวรรค์สำหรับผู้ลี้ภัยทางการเมือง จากการที่รัฐบาลเบลเยี่ยม ให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างมาก  มาร์กซและเจนนี ต้องหาบ้านเช่าและย้ายที่อยู่หลายครั้ง เนื่องจากเจนนีกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง จนถึงเดือนพฤษภาคม จึงได้บ้านที่ถนนลาอิยองเซ่ ซึ่งเป็นสถานที่มั่นคงสำหรับการอยู่อาศัยพอสมควร จากนั้น แม่ของเจนนีก็ส่งคนรับใช้เก่าแก่ ชื่อ เฮเลน เดมุธ (Helene Demuth) มาอยู่ด้วย เฮเลนมาจากชนบทบริเวณเมืองเทรียร์ นั้นเองและอยู่กับครอบครัวเวสฟาเลนของเจนนีตั้งแต่เธออายุได้ ๑๑ ขวบ แต่ในขณะที่มาอยู่กับมาร์กซและเจนนีที่บรัสเซลส์ เฮเลนอายุได้ ๒๕ ปีแล้ว
มาร์กซได้ทำเรื่องขออาศัยอยู่ในเบลเยี่ยม และได้รับการอนุญาต เมื่อตั้งหลักแหล่งได้แล้ว เองเกลส์ก็ย้ายตามมาอยู่ในบรัสเซลส์ โดยมาเช่าบ้านใกล้กับมาร์กซ นอกจากนี้ในเบลเยี่ยมยังมีนักสังคมนิยมคนอื่นอีกหลายคนที่สนิทสนมกับครอบครัวมาร์กซ เช่น โมเสส เฮส   วิลเฮล์ม เวทลิง และ คาร์ล ไฮนเซน(Karl Heinzen) เป็นต้น ทำให้ชีวิตของครอบครัวมาร์กซใน     เบลเยี่ยม ค่อนข้างจะราบรื่น ในระยะนี้ มาร์กซก็เริ่มทำงานค้นคว้า และได้เขียนหนังสือ เรื่องข้อเสนอว่าด้วยฟอยเออร์บาค (Thesis on Feuerbach) จากนั้น ต่อมา มาร์กซ และเองเกลส์ก็ทำงานค้นคว้าร่วมกัน และเขียนเรื่องอุดมการณ์เยอรมัน (The German Ideology) ซึ่งกลายเป็นงานชิ้นเอก
ในระยะที่อยู่ที่บรัสเซลส์นี้ เรื่องข้อเสนอว่าด้วยฟอย เออร์บาค เป็นครั้งแรกที่มาร์กซนำความคิดของฟอยเออร์บาค มาวิพากษ์อย่างจริงจัง มาร์กซเสนอว่า แนวคิดวัตถุนิยมทั้งมวลที่มีการนำเสนอ รวมทั้งวัตถุนิยมของฟอยเออร์บาค ก็คือการอธิบายโลก แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ การปฏิบัติที่เป็นจริง มาร์กซจึงเสนอในข้อสรุปสำคัญตอนหนึ่งว่า “นักปรัชญาทั้งหลายต่างก็อธิบายโลกต่างๆกัน แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงโลก”
หลังจากที่เขียนเรื่องนี้ ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ.๑๘๔๕ มาร์กซ ได้เดินทางไปกับเองเกลส์ ข้ามไปยังอังกฤษ เพื่อเยี่ยมเมืองแมนเชสเตอร์เป็นเวลา ๓ เดือน มาร์กซใช้เวลาที่ห้องสมุดเมืองแมนเชสเตอร์ ศึกษาเพิ่มเติมงานของเขียนของนักวิชาการอังกฤษหลายคน
หลังจากนั้น ทั้ง ๒ คนก็เดินทางมาเยือนกรุงลอนดอน ในขณะนั้นกลุ่มขบวนการชาร์เตอร์ (Charter) ของอังกฤษกำลังก่อตัว ซึ่งขบวนการนี้จะมี  เป้าหมายในการเรียกร้องสิทธิทางกฏหมายให้กับประชาชนระดับล่างในอังกฤษ มาร์กซมีโอกาสได้พบกับจอร์จ เจ. ฮาร์เนย์(George J. Harney) หัวหน้าขบวนการชาร์เตอร์ ซึ่งเป็นบรรณาธิการของวารสารดาวเหนือ ของกรรมกรนอกจากนี้เองเกลส์ได้แนะนำให้มาร์กซ รู้จักกับหัวหน้าขบวนการกรรมกรของเยอรมนี ที่ลี้ภัยอยู่ในอังกฤษ ในระหว่างที่มาร์กซไปอังกฤษนี้เอง เจนนีกลับไปยังเมืองเทรียร์ และคลอดลูกคนที่สองเมื่อเดือน กันยายน ค.ศ.๑๘๔๕ เป็นหญิงอีกเช่นกัน ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ลอรา
เมื่อมาร์กซและเองเกลส์เดินทางกลับมายังเบลเยี่ยม ก็ได้เริ่มงานเขียนเรื่อง อุดมการณ์เยอรมัน  เพื่อเสนอข้อถกเถียงเกี่ยวกับกลุ่มลัทธิเฮเกลฝ่ายซ้ายทั้งมวล งานชิ้นนี้เป็นงานในเชิงปรัชญาวัตถุนิยมที่ขยายต่อจาก ข้อเสนอว่าด้วยฟอยเออร์บาค และเป็นงานที่ทบทวนรากฐานทางปรัชญาของ เยอรมัน ตั้งแต่เฮเกล บาวเออร์ มาจนถึงฟอยเออร์บาค หนังสือเล่มนี้กลายเป็นงานเขียนที่หนาเป็นร้อยหน้า แต่ในส่วนท้ายที่ว่าด้วยแนวคิดของฟอยเออร์บาคนั้น ไม่ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม งานเขียนชิ้นนี้ถือว่าเป็นงานเขียนสำคัญที่วางรากฐานความคิดวัตถุนิยมวิภาษวิธี และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ของ มาร์กซและเองเกลส์ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงปรัชญาวัตถุนิยมมาอธิบายวิวัฒนาการทางสังคมและการปฏิวัติทางสังคมของชนชั้น กรรมาชีพ และการสร้างสังคมคอมมิวนิสต์ จากงานเขียนนี้ จะเห็นได้ว่า แนวคิดทางปรัชญาของลัทธิมาร์กซ ได้ก่อรูปขึ้นอย่างสมบูรณ์
ระหว่างที่มาร์กซค้นคว้างานเขียนชิ้นนี้ ได้ข่าวมาว่า ทางการตำรวจปรัสเซียยังคงกดดันต่อรัฐบาลเบลเยี่ยม ที่จะให้จับตัวมาร์กซ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ดังนั้น ในเดือนธันวาคม ค.ศ.๑๘๔๕ มาร์กซ จึงสละสัญชาติปรัสเซีย

มาร์กซในฐานะนักหนังสือพิมพ์
คาร์ล มาร์กซสุธาชัย  ยิ้มประเสริฐ
จากไรน์แลนด์สู่ปารีสสำหรับมาร์กซ อาชีพนักหนังสือพิมพ์ได้กลายเป็นช่องทางในการดำรงชีพ เพราะทางบ้าน  มารดาไม่เห็นด้วยอย่างมากกับแนวทางการดำเนินชีวิตของเขา และยุติการส่งเงินให้เขาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๘๔๒ มาร์กซจึงทุ่มเทมากขึ้นให้กับการทำงานในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไรน์ (Rheinische Zaitung) แต่ในอีกด้านหนึ่ง หนังสือพิมพ์ไรน์ได้กลายเป็นหนังสือพิมพ์เล่มสำคัญที่มาร์กซใช้เผยแพร่แนวคิดที่ก้าวหน้า โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการปฏิวัติประชาธิปไตย เพื่อลดการเพ่งเล็งจากทางการรัฐบาลท้องถิ่นไรน์แลนด์ มาร์กซยอมตกลงที่จะลดการวิพากษ์ศาสนาลง แล้วใช้หน้าหนังสือพิมพ์ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นหลัก ในเงื่อนไขที่ปรัสเซียและรัฐเยอรมันส่วนใหญ่ ยังอยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ ไม่มีรัฐธรรมนูญ ไม่มีระบอบรัฐสภาแบบประชาธิปไตย และไม่มีการประกันสิทธิทางการเมืองของประชาชน
นอกจากนี้ เมื่อมาร์กซเข้ารับตำแหน่งบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ไรน์ถูกโจมตีจากหนังสือพิมพ์ออกสเบิร์กที่เป็นคู่แข่งว่า เป็นเอกสารคอมมิวนิสต์ ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะเร่งเร้าให้รัฐบาลปิดหนังสือพิมพ์นี้ สืบเนื่องจากการที่หนังสือพิมพ์ไรน์ลงข่าวการเคลื่อนไหวของกลุ่มสังคมนิยมของฟูริเอร์ ซึ่งเปิดประชุมที่เมืองสตาร์บูร์ก ในฝรั่งเศส ทั้งนี้เพราะแนวคิดสังคมนิยมของชาร์ล ฟูริเออร์ (Charles Fourier) กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในสมัยนั้น โดยเฉพาะแนวคิดในการสร้างชุมชนอุดมคติที่เรียกว่า ฟาลังสแตร์ (phalanstere) ซึ่งจะมีกรรมสิทธิทั้งหมดเป็นของส่วนรวม ที่สมาชิกเป็นเจ้าของโดยเท่าเทียมกัน ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า มาร์กซนิยมความคิดของฟูริเอร์หรือไม่ แต่เขาก็ได้ตอบโต้กับการกล่าวหาเรื่องคอมมิวนิสต์ โดยชี้แจงว่า บทความในหนังสือพิมพ์ไรน์ ยังไม่มีเรื่องใดเลยที่นำเสนอความคิดหรืออุดมการณ์แบบคอมมิวนิสต์ การ กล่าวหาโดยอ้างเพียงไม่กี่ประโยคนั้นไม่อาจจะยอมรับได้
การตอบโต้ของมาร์กซในขณะนั้น ได้ชี้ให้เห็นว่า มาร์กซยังไม่ได้มีอุดมการณ์แบบสังคมนิยมเต็มที่นัก แม้ว่าวารสารไรน์จะมีความสนใจและเห็นใจในความทุกข์ยากของคนยากคนจน แต่ก็นำเสนอให้เห็นว่า คนเหล่านี้ตกเป็นผู้ถูกกระทำของสังคม ยังไม่ได้เห็นว่าชนชั้นกรรมกรเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ความสนใจปัญหาสังคม และศึกษาชีวิตของคนยากจน ชนชั้นล่าง เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญในชีวิตของมาร์กซในระยะที่ทำงานกับวารสารนี้ เพราะเป็นการดึงมาร์กซออกจากโลกที่ศึกษาแต่เพียงประเด็นทางปรัชญา มาสู่การที่จะต้องเข้าใจเศรษฐกิจและสังคมทึ่เป็นจริงมากขึ้น มาร์กซได้เริ่มทำความเข้าใจกับความเป็นไปของสังคม และเริ่มสนใจที่จะศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ในระหว่างนี้เอง
ทั้งนี้ การตื่นตัวด้านแนวคิดสังคมนิยมในปรัสเซียและรัฐเยอรมันอื่นๆ ในขณะนั้นยังมีน้อยมาก จากการที่รัฐต่างๆในดินแดนเยอรมนียังเป็นรัฐแบบศักดินา อุตสาหกรรมเพิ่งจะเริ่มต้นและพัฒนาน้อยมาก  ชนชั้นกรรมกรมีน้อย และมีพื้นฐานมาจากช่างฝีมือในสมาคมอาชีพ ที่ยังจมกับความรุ่งเรืองในอดีตยิ่งกว่าจะสนใจการปฏิวัติเพื่อสร้างอนาคต แนวคิดสังคมนิยมในเยอรมันเผยแพร่เพียงในหมู่ปัญญาชนจำนวนน้อย แนวคิดสังคมนิยมจากฝรั่งเศส  แผ่เข้ามาในทศวรรษที่  ๑๘๓๐  เช่น ลุดวิก กอล (Ludwig Gall) แห่งเมืองเทรียส์ เริ่มเผยแพร่ความคิดสังคมนิยมแบบแซงต์ซีมองต์และฟูริเอร์ หนังสือเริ่มแรกในเยอรมนีที่เสนอแนวคิดสังคมนิยมอย่างชัดเจนคือ ประวัติศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งมนุษยชาติ  เขียนโดย โมเสส เฮส (Moses Hess) หนึ่งในสมาชิกกลุ่มโคโลญจน์ ซึ่งได้มีโอกาสเดินทางไปปารีส นอกจากนี้ ก็คือ วิลเฮล์ม เวทลิง (Wilhelm Weitling) ซึ่งเป็นชาวปรัสเซียที่อยู่นอกประเทศ ตั้งสมาคมคนงานเยอรมันขึ้นในกรุงปารีส และได้เขียนบทความเรื่อง มนุษยชาติที่เป็นอยู่และที่ควรจะเป็น ซึ่งเสนอแนวคิดโจมตีคนร่ำรวยว่า เป็นตัวการก่อให้เกิดความไม่เสมอภาคและความอยุติธรรม หนังสือเล่มที่ช่วยเผยแพร่แนวคิดสังคมนิยมน่าจะได้แก่เรื่อง สังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ในฝรั่งเศสปัจจุบัน เขียนโดย ลอเรนซ ฟอนสเตน (Lorenz von Stein)  พิมพ์เผยแพร่ใน ค.ศ.๑๘๔๒ ก่อให้เกิดความสนใจในแนวคิดสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์อย่างมาก  ทั้งที่สเตนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลปรัสเซีย มีแนวคิดต่อต้านสังคมนิยม เห็นว่าสังคมนิยมฝรั่งเศสเป็นภัยต่อรัฐปรัสเซีย หนังสือของเขาต้องการเพียงแค่สำรวจแนวคิดสังคมนิยมฝรั่งเศส ที่ส่งผลสะเทือนในหมู่ชาวเยอรมันที่อยู่นอกประเทศ
ปรากฏว่ากลุ่มสโมสรโคโลญจน์เป็นกลุ่มหนึ่งที่รับเอาแนวคิดสังคมนิยมฝรั่งเศส และได้เริ่มศึกษาแนวคิดนี้อย่างจริงจัง มีการพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนกันในแนวคิดสังคมนิยม มาร์กซเองก็เข้าร่วมการแลกเปลี่ยนแนวคิดสังคมนิยมนี้ด้วยเช่นกัน จากการศึกษาและแลกเปลี่ยนกันในกลุ่มจึงทำให้มาร์กซได้กลายเป็นผู้นำสังคมนิยมฝรั่งเศสไปด้วย
นอกจากนี้ ใน ค.ศ.๑๘๔๒ ระหว่างที่มาร์กซเป็นบรรณาธิการ เขาได้พบกับเฟรเดอริก เองเกลส์ เป็นครั้งแรก ในระหว่างที่เองเกลส์กำลังจะเดินทางจากเบอร์ลินไปอังกฤษ ได้แวะมายังกองบรรณาธิการวารสารไรน์ และพบกับมาร์กซด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง นี่จะเป็นจุดเริ่มแห่งการทำงานร่วมกันของคนทั้งสองในระยะต่อมา
ปรากฏว่า หนังสือพิมพ์ไรน์เริ่มถูกคุกคามมากขึ้นจากเจ้าหน้าที่เซ็นเซอร์ เนื่องจากบทความของมาร์กซที่วิจารณ์การดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลของรัฐบาลปรัสเซีย นอกจากนี้ยังสืบเนื่องจากการที่รัฐบาลกษัตริย์แห่งปรัสเซีย ใช้นโยบายริดรอนสิทธิของหนังสือพิมพ์มากขึ้น หลังจากที่พระเจ้าเฟรเดอริกวิลเฮล์มที่ ๔ ขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ. ๑๘๔๐   นอกจากนี้ พระเจ้าซาร์รุสเซียยังได้ประท้วงมายังรัฐบาลปรัสเซียว่า วารสารไรน์ลงบทความที่เป็นปฏิปักษ์กับระบอบซาร์  ดังนั้น มาร์กซจึงขอลาออกจากตำแหน่งบรรณาธิการในวันที่ ๑๗ มีนาคม ค.ศ. ๑๘๔๓ ด้วยความคาดหวังว่า วารสารจะยังคงดำเนินการต่อไปภายใต้บรรณาธิการคนใหม่ แต่รัฐบาลไรน์แลนด์ได้ตัดสินชะตากรรมของวารสารไว้แล้ว  ในวันที่ ๓๑ มีนาคม ค.ศ.๑๘๔๓ วารสารก็ถูกคำสั่งปิดดำเนินการ
ผลของการใช้มาตรการปราบปราบและควบคุมทางความคิดของรัฐบาลปรัสเซีย นำมาสู่ความแตกแยกในกลุ่มเฮเกลฝ่ายซ้ายด้วย  บรูโน บาวเออร์ และกลุ่มที่อยู่ในเบอร์ลิน ถูกบีบให้ลดบทบาททางการเมืองลง บาวเออร์หวังว่ามาตรการในการปราบปรามของรัฐบาล จะนำมาสู่การต่อต้านมากยิ่งขึ้นในหมู่ชนชั้นกลาง แต่เมื่อสถานการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น บาวเออร์และกลุ่มเบอร์ลิน ก็หันไปศึกษาและโต้แย้งในเชิงทฤษฎีมากขึ้น และสนใจปัญหาสังคมลดลง สำหรับกลุ่มของอาร์โนลด์ รูเก ต้องการที่จะต่อสู้ทางการเมืองต่อไปด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เขาเห็นว่าจะต้องเดินทางออกไปเคลื่อนไหวนอกประเทศ  จึงเดินทางไปซูริก ซึ่งเป็นแห่งอาศัยของชาวเยอรมันนอกประเทศจำนวนมาก มาร์กซก็เช่นเดียวกัน เขามีแนวคิดในเชิงปฏิวัติสังคมมากขึ้น เพราะเห็นว่าอนาคตของสังคมปรัสเซียจะเป็นไปได้ ก็จะต้องผ่านการปฏิวัติ ในจดหมายของมาร์กซที่เขียนถึงรูเก เขาอธิบายว่า สถานการณ์ในเยอรมนีนั้นสิ้นหวัง จะต้องมีการสร้างโลกขึ้นใหม่ สร้างชีวิตใหม่โดยการปฏิวัติ ด้วยการสร้างพันธมิตรระหว่าง “นักคิด” กับ “ประชาชนผู้ทนทุกข์”
ในเงื่อนไขที่มาร์กซก้าวไปสู่ความเป็นนักปฏิวัติมากขึ้น เขาเห็นว่าหนทางที่จะทำหนังสือพิมพ์อย่างเสรีในปรัสเซียและรัฐเยอรมนีอื่นๆ คงเป็นไปได้ยาก มาร์กซตัดสินใจที่จะดินทางไปต่างประเทศ เพื่อที่จะทำวารสารที่มีเนื้อหาปฏิวัติ และจะส่งข้ามแดนมายังปรัสเซีย ปรากฏว่าอาร์โนล รูเก ได้ร่วมคิดกับนักคิดคนสำคัญอีกคนหนึ่ง ชื่อ จูเลียส โฟรเบล (Julius Froebel) ที่จะออกวารสารในต่างประเทศ และได้ชักชวนมาร์กซให้ไปร่วมกองบรรณาธิการ มาร์กซจึงตกลงทันที ด้วยความมุ่งหวังที่จะให้วารสารนี้ เป็นวารสารที่นำความคิดปฏิวัติมาสู่รัฐเยอรมันทั้งหลาย ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๘๔๓ มาร์กซ, รูเก และ โฟรเบล ได้พบกันที่เมืองเดรสเดน ในรัฐแซกโซนี เพื่อตกลงในเรื่องการออกวารสาร โดยเลือกเมืองสตราบูร์ก ในรัฐอัลซาค ของฝรั่งเศสเป็นสถานที่ออกหนังสือ เพราะเมืองนี้อยู่ใกล้เขตไรน์แลนด์ของปรัสเซีย จึงเป็นการง่ายที่จะนำเอาวารสารมาเผยแพร่ในเขตรัฐเยอรมนี
หลังจากนั้น มาร์กซเดินทางกลับไปยังเมืองครูสแนส ซึ่งเป็นเมืองใกล้เมืองเทรียส์ และเป็นเมืองที่ครอบครัวของ เจนนี เวสฟาเลน ย้ายไปอยู่ที่นั่น เขาแต่งงานกับเจนนี ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ค.ศ. ๑๘๔๓ ที่โบสถ์โปรเตสแตนต์แห่งหนึ่งที่ครูซแนช จากนั้นก็ไปฮันนีมูนกันที่สวิสเซอร์แลนด์ และเดินทางผ่านแคว้นบาเดน ก่อนที่จะกลับมาที่ครูซแนช จากนั้น มาร์กซกับเจนนีก็อาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลา ๓ เดือน ในระหว่างนี้ มาร์กซได้ใช้เวลาทบทวนปรัชญาของเฮเกล และศึกษาปรัชญาวัตถุนิยมของลุดวิก ฟอยเออร์บาค (Ludwig Feuerbach) อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
ฟอยเออร์บาค เป็นนักปรัชญาก่อนหน้ามาร์กซ เขาเป็นชาวบาวาเรียเกิดเมื่อ ค.ศ.๑๘๐๗ และตั้งใจจะศึกษาวิชาเทววิทยาในมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน แต่ปรากฏว่า ในระหว่างนั้นเขากลับได้รับอิทธิพลของเฮเกล จึงหันมาศึกษาวิชาปรัชญาแทน ผลงานที่สำคัญของฟอยเออร์บาคคือเรื่อง สาระสำคัญของคริสต์ศาสนา ซึ่งเป็นการใช้แนวคิดแบบวัตถุนิยมมาวิเคราะห์ศาสนาคริสต์ นอกจากนี้ก็คือเรื่อง ข้อเสนอเบื้องต้นว่าด้วยการปฏิรูปปรัชญา ซึ่งพิมพ์เผยแพร่ในสวิสเซอร์แลนด์ ค.ศ. ๑๘๔๓ และรูเกส่งมาให้มาร์กซ ซึ่งสร้างความสนใจแก่มาร์กซอย่างมาก เพราะฟอยเออร์บาคนำแนวคิดวัตถุนิยมมาวิพากษ์ปรัชญาของเฮเกล  อย่างไรก็ตาม มาร์กซก็ไม่เห็นด้วยกับฟอยเออร์บาคที่ว่า แนวเสนอของฟอยเออร์บาคขาดการพิจารณามิติทางประวัติศาสตร์และการเมือง จึงเป็นการวิพากษ์เฮเกลแต่เฉพาะรากฐานทางปรัชญาเท่านั้น ดังนั้นมาร์กซจึงเขียนเรื่อง วิพากษ์ปรัชญาว่าด้วยสิทธิของเฮเกล โดยประเด็นหลักที่นำเสนอก็คือ รัฐปรัสเซียไม่มีทางที่จะเป็นรัฐที่สมเหตุสมผล หรือรัฐที่มีเสรีภาพสมบูรณ์ตามอุดมคติของเฮเกลได้เลย และการปกครองของปรัสเซียภายใต้ระบบกษัตริย์ ก็คือระบบการเมืองที่กดขี่และปราบปรามประชาชน
ในระหว่างที่มาร์กซอยู่ที่เมืองครูซแนช   อาร์โนลด์ รูเก กำลังเตรียมการที่จะเปิดวารสารเผยแพร่อุดมการณ์ปฏิวัติ โดยการหาแหล่งเงินทุนสำหรับวารสาร และเตรียมสถานที่ ปรากฏว่าทางการ เมืองสตราบูร์ก ไม่อนุญาตให้เขาใช้เป็นที่ตั้งเปิดหนังสือ ในที่สุด รูเก ก็เลือกกรุงปารีสเป็นสถานที่ตั้งแทน   ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๘๔๓ รูเก และโมเสส เฮส เดินทางยังปารีสเพื่อเตรียมการออกหนังสือซึ่งใช้ชื่อว่า Deutsch- Franzosische Jahrbucher โดยบุคคลที่รับช่วยเขียนในกองบรรณาธิการวารสาร จาบูเชอร์ นี้ นอกจาก รูเก, โฟรเบล, เฮส, และ มาร์กซแล้ว ก็คือ จอร์จ เฮอร์เวจ (Georg Herwegh) ซึ่งเป็นกวี และยังมี เฟรเดอริก เองเกลส์ (Friedrich Engels) มิคาอิล บากูนิน (Mikhail Bakunin) เข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ รูเกและมาร์กซยังได้เชิญให้ฟอยเออร์บาคเข้าร่วมในกองบรรณาธิการด้วย แต่ได้รับการปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า เขายังต้องการเวลาที่จะศึกษาทฤษฎีต่อไป มากกว่าที่จะเข้าร่วมการเคลื่อนไหว
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๘๔๓ มาร์กซและเจนนี ก็เดินทางไปปารีส เพื่อร่วมกองบรรณาธิการ และได้เข้าพักในบ้านเช่ารวม ที่ย่านแซงแยร์แมง ซึ่งมีครอบครัวของนักสังคมนิยมเยอรมันชื่อ เจอร์เมน มอเรอร์ (Germain Maurer) อาศัยอยู่แล้ว รูเกได้ชวนให้ครอบครัวของมาร์กซ และ จอร์จ เฮอร์เวจ อยู่ร่วมในอาคารเดียวกันในลักษณะชุมชนฟาลังสแตร์ตามแนวคิดของชาร์ล ฟูริเออร์ โดยมีกรรมสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของส่วนรวม โครงการนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะภรรยาของเฮอร์เวจ ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม  สำหรับมาร์กซและเจนนี ก็อยู่ที่บ้านรวมแห่งนี้ เพียง ๒ สัปดาห์แล้วย้ายออกไปยังย่านถนนวาโน และอยู่ที่นั่นตลอดเวลาที่อยู่ในปารีส
มาร์กซได้นำบทความใหม่ที่เขาเขียนมาด้วยคือบทความเรื่อง ว่าด้วยปัญหายิว ทั้งนี้เพราะเรื่องของชาวยิวกำลังกลายเป็นปัญหาสำคัญในปรัสเซีย เพราะหลังจากสงครามนโปเลียน ชาวเยอรมันเกิดความรู้สึกชาตินิยมและเริ่มต่อต้านชาวยิว ด้วยความรู้สึกว่าชาวยิวเป็นกลุ่มชนอื่นที่มาอาศัยดินแดน ได้มีปัญญาชนชาตินิยมเยอรมันหลายคนที่เขียนบทความต่อต้านยิว และรัฐบาลปรัสเซียก็ได้มีมาตรการต่างๆ ริดรอนสิทธิของชาวยิวอย่างมาก บรูโน บาวเออร์ ก็เคยเขียนบทความแสดงการคัดค้านกระแสเหยียดชนชาติยิว และเรียกร้องให้ปลดปล่อยชาวยิวจากความอยุติธรรม แต่มาร์กซก็เห็นว่า ข้อวิเคราะห์ของบาวเออร์ยังเป็นนามธรรมมากเกินไป เขาเสนอว่าปัญหาเรื่องชาวยิวก็เป็นปัญหาการกดขี่ระหว่างมนุษย์เหมือนปัญหาอื่นๆ ไม่เพียงแต่ชาวยิวเท่านั้นที่ต้องการการปลดปล่อย แต่ประชาชนคนยากจนทั้งมวลที่ตกอยู่ภายใต้การกดขี่ ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือคริสเตียนก็ต้องการการปลดปล่อยเช่นกัน เพราะสิทธิของประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ภายใต้ระบอบกษัตริย์ปรัสเซีย นอกจากนี้ ก็คือเสรีภาพทางศาสนา จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้คริสเตียนและยิวมีสิทธิเท่าเทียมกัน และอยู่ในสังคมร่วมกันได้ ดังนั้นการปลดปล่อยทางการเมืองและทางศาสนาจึงเป็นสิ่งที่ควบคู่กัน
ปารีสใน ค.ศ.๑๘๔๓ นั้น ยังอยู่ภายใต้ระบอบกษัตริย์ประชาธิปไตยของพระเจ้าหลุยฟิลิป แต่การบริหารอยู่ในมือของกิโซต์ ซึ่งเป็นพวกอนุรักษ์นิยม อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในปารีสยังเป็นไปอย่างคึกคัก กลุ่มการเมืองทั้งฝ่ายเสรีนิยมและฝ่ายสังคมนิยมในฝรั่งเศส ต่างก็เผยแพร่อุดมการณ์ของตนในลักษณะเปิดเผยและกึ่งเปิดเผย นอกจากนี้ปารีสยังเป็นดินแดนของนักปฏิวัติลี้ภัยจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรุสเซีย ปรัสเซีย และจักรวรรดิออสเตรีย ดังนั้น ชีวิตของมาร์กซในปารีส จึงน่าตื่นตาตื่นใจ ปารีสทำให้เขาได้เพิ่มพูนความรู้ใหม่ และความจัดเจนทางการเมือง เขาได้ถือโอกาสออกไปเยือนเขตกรรมกรของกรุงปารีส และเข้าประชุมกับองค์กรกรรมกรฝรั่งเศส ทำให้ได้เห็นสภาพของชนชั้นกรรมกรชัดเจนขึ้น จากการที่ปารีสนั้นมีการพัฒนาอุตสาหกรรมและมีชนชั้นกรรมกรที่มากกว่าเขตไรน์แลนด์ นอกจากนี้ มาร์กซยังได้ทำความรู้จักกับนักคิดสังคมนิยมหลายคน เช่น เอเตียง การ์เบ้ (Etienne Cabet) หลุย บลอง (Louis Blanc)  ปิแอร์ ปรูดอง (Pierre Proudhon) ได้เป็นเพื่อนกับไฮน์ริช ไฮน์ (Heinrich Heine) และได้รู้จักกับปัญญาชนรุสเซียที่หนีมาลี้ภัยในปารีส ที่สำคัญก็คือ มิคาอิล บากูนิน นอกจากนี้ มาร์กซก็ได้ทุ่มเทศึกษาประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศส  ศึกษาสังคมนิยมฝรั่งเศส และศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์อย่างจริงจัง
ประการต่อมา มาร์กซได้เข้าใกล้กับขบวนการปฏิวัติอย่างจริงจังมากขึ้น โดยการเข้าร่วมการประชุมของสันนิบาตเพื่อความเป็นธรรม (League of the Just) ซึ่งเป็นองค์กรปฏิวัติใต้ดินของกลุ่มเยอรมันลี้ภัย เป้าหมายของสันนิบาตก็เพื่อโค่นล้มระบอบกษัตริย์ และสถาปนาสาธารณรัฐสังคมนิยมในดินแดนเยอรมนี ผู้นำที่สำคัญของสันนิบาตคนหนึ่งก็คือ เจอร์แมน มอเรอร์ นั่นเอง

วัยหนุ่มของคาร์ล มาร์กซ
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
๔. ลัทธิเฮเกลจากที่กล่าวมาแล้วว่า ชีวิตของมาร์กซในวัยหนุ่มเริ่มเปลี่ยนแปลง อย่างจริงจัง หลังจากที่เขารับความคิดของฟรีดริช เฮเกล (Friedrich Hegel) ดังนั้นจึงต้องเริ่มศึกษาเฮเกลเสียก่อน
 เฮเกล เกิดที่เมืองสตูตการ์ตใน ค.ศ.๑๗๗๐ เข้าเรียนใน มหาวิทยาลัยทูบิงเก็น โดยศึกษาด้านศาสนวิทยา แต่เขากลับมาสนใจวิชา ปรัชญาและคลาสสิกศึกษา1 และสนใจอย่างมากในปรัชญาของ อินมานูเอล คานต์ (Imanuel Kant) ซึ่งเป็นนักปรัชญาจิตนิยมคนสำคัญ ก่อนหน้าสมัยของเขา ใน ค.ศ.๑๘๐๑ เขาได้รับตำแหน่งอาจารย์พิเศษ ที่มหาวิทยาลัยเจนา และได้ร่วมกับโจเซฟ ฟอน เชลลิง (Joseph von Schelling) ออกวารสารทางปรัชญาชื่อ ครีติช (Kritisches) แต่อยู่ได้เพียง ๓ ปีก็เลิก เพราะเฮเกลและเชลลิงเกิดแตกแยกกัน เฮเกลอยู่ที่เจนามา จนถึง ค.ศ.๑๘๐๖ ชีวิตก็เปลี่ยน  เพราะในระหว่างนั้นอยู่ในระยะสงคราม นโปเลียน ปรากฏว่ากองทัพฝรั่งเศสบุกเมืองเยนาและปิดมหาวิทยาลัย เขาจึงต้องย้ายไปอยู่เมืองเบิร์นบูร์ก รับตำแหน่งบรรณาธิการหนังสือ และเป็นผู้ดูแลโรงกายบริหาร จนถึง ค.ศ.๑๘๑๖ เมื่อสงครามสงบแล้ว เขาก็กลับไปเป็นอาจารย์ด้านปรัชญาอยู่เมืองไฮเดลเบิร์ก จากนั้น ใน ค.ศ.๑๘๑๘ เขาก็ย้ายไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน และอยู่จน ถึงแก่กรรมเมื่อ ค.ศ.๑๘๓๑    ดังนั้นเมื่อ คาร์ล มาร์กซ เข้าศึกษาที่ มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ค.ศ.๑๘๓๘  เฮเกลได้ถึงแก่กรรมไปแล้วแต่อิทธิพล ทางความคิดปรัชญาของเขายังคงอยู่
 ปรัชญาของเฮเกลก็คือ ลัทธิจิตนิยม เขาเชื่อว่า สิ่งที่เป็นความจริง จะต้องมีลักษณะสมบูรณ์ทั่วด้าน เฮเกลเรียกว่าเป็น จิตสัมบูรณ์ ซึ่ง เป็นตัวตนสมบูรณ์และครอบงำสรรพสิ่ง และเป็นสิ่งตรงข้ามกับโลกความ เป็นจริงที่มนุษย์เห็นอยู่โดยทั่วไปหรือสัมผัสได้  เฮเกลเห็นว่า โลกเชิง ประจักษ์นั้นเป็นเพียงการสะท้อนออกบางส่วนของความจริง แต่ไม่ใช่ ความจริงที่สมบูรณ์ และเขาอธิบายความจริงสูงสุดของโลกคือ หลักเหตุผล (rational) มนุษย์จะเข้าถึงความจริงได้ก็ด้วยความเข้าใจ ในหลักเหตุผล ซึ่งก็คือกระบวนการทางตรรกวิทยา แต่จุดเด่นในปรัชญา ของเฮเกลคือ ทัศนะแบบวิภาษวิธี (dialectic) โดยอธิบายว่า จิตหรือ ตัวตนสมบูรณ์นี้แสดงออกในรูปของความขัดแย้ง ๒ ด้าน คือด้าน สนับสนุนและด้านปฏิเสธ ด้านหนึ่งเป็นบทเสนอ (thesis) ส่วนอีกด้านหนึ่ง เป็นบทแย้ง  (antithesis) และวิวัฒนาการการต่อสู้ระหว่าง ๒ ด้านที่ขัดแย้ง นี้เองจะนำมาสู่การพัฒนาของสิ่งใหม่ ที่จะเรียกว่า บทสรุป(synthesis) และบทสรุปนี้ก็จะกลายเป็นบทเสนอ (thesis) ใหม่  ก่อให้เกิดบทแย้ง (antithesis) ใหม่ และนำมาสู่บทสรุป (synthesis) ใหม่  ไปจนสิ้นสุดกระบวน การพัฒนาที่จะนำไปสู่ความเป็นจิตสมบูรณ์อันแท้จริง
เฮเกลได้นำเอาหลักปรัชญาของตนมาอธิบายประวัติศาสตร์จาก ปาฐกถาสำคัญคือ  “ปรัชญาของประวัติศาสตร์” (๑๘๒๒) เฮเกล อธิบายว่า ประวัติศาสตร์ของมนุษย์จะพัฒนาคล้ายกับขดลวดวงกลม คือ มีลักษณะ คล้ายจะซ้ำรอย แต่จะก้าวไปข้างหน้า โดยสิ่งที่จะผลักดันประวัติศาสตร์ ให้ก้าวหน้านั้น  คือเหตุผลของมนุษย์ ประวัติศาสตร์แบบเฮเกลจึงเป็น ประวัติศาสตร์ความคิด เพราะเฮเกลมีข้อสมมตว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่มี เหตุผล (rational) เพียงแต่ในสภาพแวดล้อมทางสังคม มนุษย์จะดำรงอยู่ ท่ามกลางความไม่มีเหตุผล และความขัดแย้งนี้เอง จะทำให้ประวัติศาสตร์ พัฒนาในแบบวิภาษวิธี คือ สังคมมนุษย์จะพัฒนาเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักคิด เป็นเหตุให้มนุษย์รวมตัวกันอยู่เป็นสังคม ตามนัยเช่นนี้ ก็คือ การที่มนุษย์ สร้างสังคมตามมโนคติและความปรารถนา และแปรเป็นความเป็นจริง ทางสังคม ดังนั้น สังคมในมโนคติจึงเป็นบทเสนอ สังคมในความเป็นจริง จึงเป็นบทแย้ง แล้วก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ความแปลกแยก (alienation) นำมาสู่การปรับมโนคติและสะท้อนออกสู่การปฏิบัติทางสังคมใหม่กลาย เป็นบทสรุป (synthesis)  ซึ่งก็จะเป็นจุดตั้งต้นของบทเสนอใหม่ กระบวนการทางสังคมจะพัฒนาเช่นนี้ จนนำมาสู่การสร้างรัฐ
ตามหลักของเฮเกล รัฐจึงเป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนา ประวัติศาสตร์ แต่รัฐก็ยังมีความไม่สมบูรณ์ จึงกลายเป็นจุดตั้งต้นของ ข้อเสนอใหม่เช่นกัน จากนั้นรัฐก็จะพัฒนาตามกระบวนการวิภาษวิธี จน นำไปสู่รัฐที่สมบูรณ์ตามจินตภาพสากลมากยิ่งขึ้น นั่นคือรัฐที่มีเสรีภาพ และสมเหตุสมผล ซึ่งโดยข้อสรุปของเฮเกล รัฐราชาธิปไตยของปรัสเซีย ขณะนั้น เป็นรัฐที่พัฒนาอย่างสมเหตุผล และใกล้เหตุผลสากลมากที่สุด2 ด้วยหลักการเช่นนี้ สังคมทุกขั้นตอนจึงมีที่มาจากการคิดเชิงตรรก (logic) ของมนุษย์ ความคิด (idea)จึงเป็นพลังผลักดันสำคัญของประวัติศาสตร์
กล่าวโดยสรุปถึงหลักปรัชญาของเฮเกล คือ ปรัชญาจิตนิยม ที่ให้ ความสำคัญแก่ความคิด ในเชิงเหตุผล ความน่าสนใจของปรัชญาเฮเกล คือการวิเคราะห์สรรพสิ่งว่ามีกระบวนการขัดแย้งภายใน  และทำให้ สรรพสิ่งพัฒนา ซึ่งข้อเสนอใหม่เหล่านี้ ทำให้ปรัชญาเฮเกลเป็นที่สนใจ อย่างมาก และทำให้มีผู้ศึกษาตามมากมาย
 อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เฮเกลถึงแก่กรรม กลุ่มที่สนใจปรัชญา ของเฮเกล ได้แตกออกเป็น ๒ ส่วน คือ กลุ่มลัทธิเฮเกลฝ่ายขวา และกลุ่ม ลัทธิเฮเกลฝ่ายซ้าย โดยประเด็นหลักที่มีความแตกต่างกัน ก็คือเรื่อง การวิเคราะห์ศาสนา จากที่เฮเกลอธิบายว่า ศาสนาเป็นรูปแบบสูงสุดแห่ง ชีวิตทางจิตวิญญานของมนุษยชาติ ศาสนาก็มีการพัฒนา แบบวิภาษวิธี เช่นกัน โดยรูปแบบที่สูงสุดตามความคิดของเฮเกล คือ ศาสนาโปรเตส-แตนต์ นิกายลูเธอรัน ของชนชาติเยอรมัน ซึ่งเป็น การรื้อฟื้นของจิตสากล ทางศาสนา เฮเกลอธิบายว่า สาระของศาสนานั้น ความจริงก็เป็นเช่นเดียว กับปรัชญา เพียงแต่มรรควิธีในการทำ ความเข้าใจแตกต่างกัน ขณะที่ ปรัชญานั้นใช้ความคิดหรือมโนคติ ศาสนาใช้จินตนาการ อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่าศาสนามีส่วนที่เป็นปรัชญาอยู่  และในส่วนนี้เองที่จะนำไปสู่ ความเข้าใจจิตสัมบูรณ์ได้  ดังนั้น กลุ่มเฮเกลฝ่ายขวา จะยอมรับว่า ศาสนา เป็นสัจธรรมที่เป็นเหตุผล และ พระเจ้าก็คือพัฒนาการของเหตุผลสมบูรณ์ ส่วนกลุ่มเฮเกลฝ่ายซ้าย นำโดย บรูโน บาวเออร์ (Bruno Bauer) ซึ่งเป็นอาจารย์ฝ่ายก้าวหน้า สอนปรัชญาที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน เห็นว่า สาระของศาสนานั้นคือ ความจริงที่ถูกบิดเบี้ยว การพัฒนาของศาสนาจึง มาจากด้านที่ไม่สมเหตุผล และคำสอนของศาสนาคือ มายาคติ (myth) ที่ถูกสร้างขึ้น

๕. ลัทธิเฮเกลกับมาร์กซ ตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน ค.ศ.๑๘๓๘ ที่มาร์กซได้อ่านงานของเฮเกล มาร์กซรับเอาแนวปรัชญาของเฮเกลทันที ในระยะนั้น บรูโน บาวเออร์ ได้ตั้งกลุ่มศึกษาที่ชื่อว่า กลุ่ม ”ยุวชนลัทธิเฮเกล” (Young Hegelians) ซึ่ง มาร์กซเข้าร่วมด้วยทันที แนวโน้มของกลุ่มยุวชนลัทธิเฮเกลฝ่ายซ้าย เหล่านี้  นอกจากจะวิพากษ์ศาสนาแล้ว ยังมีแนวโน้มในการวิพากษ์ รัฐปรัสเซียด้วย มาร์กซ เป็นหนึ่งในนักคิดของกลุ่มที่จะเริ่มนำเอา ลัทธิเฮเกล มาวิเคราะห์สังคมและการเมือง คนอื่นในกลุ่มที่สำคัญก็เช่น อด็อฟ รูเตนเบิร์ก (Adolph Rutenberg) นักภูมิศาสตร์ที่หันมาสนใจ ปรัชญา คาร์ล คืปเปน (Karl Keppen) ซึ่งเขียนหนังสือเรื่อง เฟรเดอริก มหาราชและกลุ่มต่อต้าน พิมพ์ใน ค.ศ.๑๘๔๐ อุทิศให้กับคาร์ล มาร์กซ และคืปเปน ต่อไปจะกลายเป็นผู้สนใจพุทธศาสนา  และเขียนหนังสือ เกี่ยวกับกำเนิดของพุทธศาสนา   นอกจากนี้ บรูโน บาวเออร์ ก็เสนอ ผลงานของเขา ชื่อ รัฐคริสเตียนในยุคสมัยของเรา พิมพ์ใน ค.ศ.๑๘๓๘ อุทิศให้กับกลุ่มยุวชนลัทธิเฮเกล
ในด้านการศึกษา ระยะแรกมาร์กซพยายามที่จะศึกษาวิชากฏหมาย ควบคู่กับปรัชญา จึงหันไปศึกษานิติปรัชญา ผลจากการศึกษาด้าน กฏหมาย ทำให้เขาเห็นข้อจำกัดในข้อกฏหมายที่รับรองกรรมสิทธิเอกชน ว่าเป็นสิทธิธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ.๑๙๓๘  เขาก็ยกเลิก การศึกษากฏหมาย และหันมาสนใจปรัชญาแต่เพียงอย่างเดียว และ ตั้งแต่ ค.ศ.๑๘๓๙ มาร์กซตัดสินใจที่จะทำวิทยานิพนธ์ในระดับ ปริญญาเอก  เพื่อจะได้เข้าเป็นอาจารย์สอนปรัชญาในมหาวิทยาลัย ได้ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง "ความแตกต่างระหว่างปรัชญาธรรมชาติของ เดโมคริตุสกับปรัชญาธรรมชาติของเอพิคิวรัส” ในงานชิ้นนี้ มาร์กซได้ ศึกษาปรัชญาของเดโมคริตัส (Democretus) และเอพิคิวรัส (Epicurus) ซึ่งเป็นนักปรัชญากรีก ๒ คน ที่มีแนวคิดในเชิงวัตถุนิยม เดโมเครตัส คือผู้ที่เสนอว่า ปฐมธาตุนั้นคือ อะตอมและที่ว่าง อะตอมเป็นสิ่งที่เล็กที่สุด มีมากมายนับไม่ถ้วนและแบ่งแยกไม่ได้ สรรพสิ่งทั้งหลายประกอบด้วย อะตอมมารวมตัวกัน เอพิคิวรัสก็ยอมรับเช่นกันว่าอะตอมเป็นพื้นฐาน ของสรรพสิ่ง แต่เน้นว่า ความรู้ของมนุษย์มาจากผัสสะ มาร์กซได้นำ เอาปรัชญาทั้งสองสำนักมาเปรียบเทียบกัน แล้วชี้ให้เห็นว่าความคิดของ เดโมเครตัสนั้นเป็นแบบกลไก ที่เห็นว่าสรรพสิ่งดำเนินไปภายใต้กฎเกณฑ์ ทางวัตถุ แต่กลับคิดว่าความรู้ที่ถูกต้องมาจากการคิด ซึ่งเท่ากับเป็น การตั้งข้อสงสัยต่อโลกของผัสสะ ขณะที่เอพีคิสรัส ยอมรับโลกของ ผัสสะว่าเป็นความจริงแท้  แต่พยายามที่จะคงรักษาเจตจำนงอิสระของ มนุษย์ และจุดมุ่งหมายไปสู่ความสุข  ซึ่งเป็นการปฏิเสธการกำหนด โดยโลกของวัตถุ ซึ่งมาร์กซเห็นว่า ปรัชญาของเอพีคิวรัสมีข้อเด่นตรงที่ ยอมรับในจิตเสรีของมนุษย์เหนือข้อกำหนดทางวัตถุ วิทยานิพนธ์ของ มาร์กซ ถือว่าเป็นงานที่ดีมากชิ้นหนึ่ง ในการวิเคราะห์ปรัชญาวัตถุนิยม ของทั้งสองสำนัก เขาเสนอวิทยานิพนธ์ต่อมหาวิทยาลัยเจนา และได้รับ ปริญญาเอกสาขาปรัชญาในเดือนเมษายน ค.ศ.๑๘๔๑
ในระหว่างที่มาร์กซทำวิทยานิพนธ์ บาวเออร์ได้ย้ายไปเป็นอาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยบอนน์ และได้ชวนมาร์กซไปทำงานที่นั่น ดังนั้นเมื่อจบ การศึกษา เขากลับไปพักผ่อนที่บ้านที่เมืองเทรียร์ ราวเดือนเศษ จากนั้น ก็สมัครเข้าเป็นอาจารย์สอนปรัชญาที่มหาวิทยาลัยบอนน์ แต่ในขณะนั้น บาวเออร์กำลังประสบปัญหา จากข้อเสนอของเขาที่วิจารณ์ศาสนา ซึ่ง บาวเออร์เสนอว่า  พระเจ้าเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง  ดังนั้นพระวรสารของพระเจ้า จึงเป็นเรื่องเหลวไหล พระเยซูจึงไม่ใช่พระบุตร และเป็นไปได้ด้วยว่า พระเยซูจะไม่มีตัวจริงทางประวัติศาสตร์ ในขณะนั้น ปรัสเซียมีการเปลี่ยน แปลงทางการเมือง จากการที่กษัตริย์เฟรเดอริกวิลเลียมที่ ๔ ขึ้นครองราชย์ ใน ค.ศ.๑๘๔๐ และพยายามที่จะดำเนินการต่างๆ ให้เข้มงวดขึ้น ดังนั้น รัฐปรัสเซียจึงเห็นว่า ข้อเสนอของบาวเออร์เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐในระหว่าง นั้นมาร์กซต้องกลับเมืองเทรียร์  เพราะบารอนแห่งเวสฟาเลน บิดาของ เจนนีป่วยหนัก  และในที่สุด บารอนก็ถึงแก่กรรมในเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๘๔๒ ในเดือนเดียวกับที่บาวเออร์ ถูกรัฐบาลปรัสเซียปลดตำแหน่ง จากมหาวิทยาลัย ซึ่งหมายถึงว่า โอกาสที่มาร์กเข้าซจะรับตำแหน่ง อาจารย์ในมหาวิทยาลัยบอนน์หมดลงไปด้วย
มาร์กซจึงหันมาทำอาชีพนักหนังสือพิมพ์ โดยทำงานที่หนังสือ วารสารไรน์ (Rheinische Zeitung) โดยผู้ร่วมงานสำคัญของเขาคือ อาร์โนลด์ รูเก (Arnold Ruge) ซึ่งเป็นนักวิชาการที่ก้าวหน้าอีกคนหนึ่ง ของยุคสมัย และเป็นพวกลัทธิเฮเกลฝ่ายซ้ายเช่นกัน รูเกถูกปฏิเสธจาก ตำแหน่งอาจารย์มหาวิทยาลัยมาก่อน  เขาจึงมายึดอาชีพหนังสือพิมพ์ เพื่อเผยแพร่ความรู้และความคิดใหม่สู่ประชาชน ต่อมา บาวเออร์ก็เขียน บทความลงเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ของรูเกเข่นกัน
สำหรับมาร์กซ  เริ่มเขียนบทความลงวารสารไรน์ตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๘๔๒ จากนั้น ก็ได้เขียนบทความต่างๆ ลงวารสาร อย่างสม่ำเสมอ  ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง โดยตรง บรรยากาศทางการเมืองในแคว้นไรน์แลนด์  ที่เป็นที่ตั้งของ เมืองบอนน์และโคโลญนั้น  มีความแตกต่างอย่างมากจากเมือง หลวงเบอร์ลิน  ซึ่งเป็นศูนย์กลางของปรัสเซีย จากการที่ไรน์แลนด์ถูก ฝรั่งเศสผนวกในสมัยสงครามนโปเลียน รัฐอิสระ ๑๐๘ นคร ถูกฝรั่งเศส ยุบรวมเหลือ ๔ จังหวัด ระบบศักดินาถูกยกเลิก เศรษฐกิจทุนนิยมพัฒนา ดังนั้น เมื่อเขตนี้จะถูกรวมเข้ากับปรัสเซียเมื่อ ค.ศ.๑๘๑๔ จึงกลาย เป็นเขตที่อิทธิพลเสรีนิยมรุนแรงที่สุด โดยเฉพาะในสมัย ค.ศ.๑๘๔๒ เกิดกลุ่มทางการเมืองที่เรียกว่า สโมสรโคโลญ(Cologne Circle) ซึ่งมีสมาชิก เช่น จอจ์ช จุง (Georg Jung)  โมเสส เฮส (Moses Hess) และคนอื่นๆ   เป้าหมายของกลุ่มก็คือการรณรงค์เผยแพร่แนวคิด ประชาธิปไตย ซึ่งมีเป้าหมายในการเรียกร้องสิทธิของราษฎร  ให้มี การเมืองในระบบรัฐสภา ให้มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการบริหารประเทศ ซึ่งขัดแย้งอย่างมากกับรัฐปรัสเซียในขณะนั้น ที่เป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ อำนาจสูงสุดอยู่ที่กษัตริย์ และมิได้ให้สิทธิแก่ราษฎร ประเด็นของการเรียก ร้องต่อมา ก็คือ เรื่องการรวมเยอรมนีเข้าเป็นเอกภาพ  กรณีนี้ ก็ยังมีปัญหา จากการที่เยอรมนีแบ่งเป็นแว่นแคว้นจำนวนมาก กษัตริย์ที่เป็นผู้ครอง แคว้น ไม่ต้องให้มีการรวมประเทศ เพราะจะทำให้ตนสูญเสียอำนาจ กลุ่มอนุรักษ์นิยม และเจ้าขุนนางในรัฐต่างๆ จึงต่อต้านการรวมประเทศ
กลุ่มโคโลญจึงผลักดันการก่อตั้งวารสารไรน์ ซึ่งเริ่มออกเผยแพร่ ในวันที่ ๑ มกราคม ค.ศ.๑๘๔๒ โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นกระบอกเสียง เผยแพร่แนวคิดเสรีนิยมและประชาธิปไตย เมื่อมาร์กซเข้าไปประจำ กองบรรณาธิการในเดือนเมษายน ค.ศ.๑๘๓๒ อด็อฟ รูเตนเบิร์ก หนึ่งในสมาชิกกลุ่มเฮเกลฝ่ายซ้ายเป็นบรรณาธิการ รูเตนเบิร์ก เป็น มิตรสนิทและเป็นผู้สนับสนุนมาร์กซอย่างมาก ความจริงวารสารนี้ถูก จับตาอย่างมากจากรัฐปรัสเซีย  และต่อมารัฐบาลกลางเสนอให้ปิด วารสารนี้ แต่รัฐบาลท้องถิ่นไรน์แลนด์เกรงว่า  การปิดหนังสือพิมพ์จะยิ่ง ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่ประชาชน  จึงสัญญาว่าจะคอยควบคุม ดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนั้นวารสารจึงดำเนินต่อมาได้ ต่อมา ปรากฏว่า รูเตนเบิร์ก มีปัญหาในการทำงานเป็นบรรณาธิการ จากการที่เขาติดสุรา  อย่างหนัก และทำให้เสียงานหลายครั้ง ทำให้มาร์กซต้องเข้าไปมี บทบาทในการบริหารกองบรรณาธิการเพิ่มขึ้น จนในเดือนตุลาคม ค.ศ.๑๘๔๒ มาร์กซก็ได้รับตำแหน่งบรรณาธิการแทน
 หลังจากที่มาร์กซเข้ารับตำแหน่งบรรณาธิการแล้ว วารสาร เล่มนี้ก็เป็นที่สนใจเพิ่มขึ้นในหมู่ประชาชน ยอดขายเพิ่มขึ้นตามลำดับ จน กลายเป็นวารสารที่เป็นที่รู้จักในระดับชาติ ที่รณรงค์ในเรื่องประชาธิปไตย

มาร์กซ นักปฏิวัติหนุ่ม
คาร์ล มาร์กซสุธาชัย  ยิ้มประเสริฐ
๑. เสมือนบทนำ
 น่าแปลกใจว่า แนวคิดลัทธิ มาร์กซ ซึ่งเป็นที่สนใจศึกษาและ เผยแพร่ในสังคมไทยมาเป็นเวลา นาน แต่ผลงาน “การศึกษา คาร์ล มาร์กซ” ผู้เป็นนักคิดคนสำคัญที่ก่อ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโลกท่านนี้ ยังมีการศึกษาน้อยมาก 
ผลงานที่ ค่อนข้างดีก็คืองานของจิตร ภูมิศักดิ์ เรื่อง “คาร์ล มาร์กซ” ซึ่งแปลจาก  Karl Marx, Biography ของ E. Stepanova ซึ่งตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ มอสโคว์ เมื่อ ค.ศ. ๑๙๖๐  ซึ่งจิตร ภูมิศักดิ์ น่าจะแปลงานชิ้นนี้ในช่วง พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๐๘ ก่อนที่จะเดินทางไป ยังเขตป่าเขา
แต่งานเขียนนี้ไม่ได้รับ การตีพิมพ์จนกระทั่งถึงช่วงหลัง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จึงได้มีการตีพิมพ์ ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘   โดย สำนักพิมพ์มหาราษฎร์ แต่การพิมพ์ ครั้งนี้ถูกโจมตีอย่างหนักจากการขาด ความระมัดระวังทำให้มีคำผิดมากมาย และสำนักพิมพ์มหาราษฎร์ยังถูกโจมตีว่า ถูกครอบงำโดยกลุ่ม“ลัทธิแก้” ดังนั้นสำนักพิมพ์เทอดธรรมจึงนำ มาพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่สองใน พ.ศ. ๒๕๑๙ แต่หลังจากนั้นก็แทบจะไม่มี การพิมพ์ซ้ำอีกเลย  ดังนั้นสังคมไทยจึงรู้จักชื่อของมาร์กซ และรับทราบ ประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับลัทธิมาร์กซ โดยรู้จักตัวตนของมาร์กซน้อยมาก งานเขียนชิ้นนี้จึงพยายามที่จะทำ ความเข้าใจกับมาร์กซ ในฐานะบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์
๒. ปฐมวัยของมาร์กซ
    คาร์ล มาร์กซ เกิดเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๘๑๘ ที่เมือง เทรียร์ ในแคว้นไรน์แลนด์ของรัฐ ปรัสเซีย ในสมัยที่เยอรมันยังไม่ได้รวมประเทศ 1   รัฐปรัสเซียภายใต้การปกครองของราชวงศ์โฮเฮนโซเลิร์น เป็นรัฐที่ใหญ่และมีดินแดนมาก ที่สุดในขณะนั้น โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเบอร์ลิน ในแคว้นแบรนเดนเบิร์กซึ่งเป็นดินแดนดั้งเดิมของ ราชวงศ์ เมืองเทรียร์นั้นเป็นเมืองเก่า ตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมันชื่อเมือง ออกัสตาเทรเวอรรอลัม  เป็นเมือง ป้อมทางเหนือของจักรวรรดิ จาก นั้นยังเป็นเมืองสำคัญต่อมาในสมัย กลางโดยเป็นเมืองหลวงของเจ้าราชา คณะแห่งเทรียร์ จนกระทั่งหลัง ค.ศ. ๑๗๖๗ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ รัฐแซกโซนี แต่เหตุการณ์สำคัญ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสมัยของคาร์ล มาร์กซ เพียงเล็กน้อยก็คือ  หลังจาก เกิดปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ ได้ นำมาซึ่งสงครามระหว่างสาธารณรัฐ ฝรั่งเศสกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ที่ยังคงอยู่ภายใต้ระบอบกษัตริย์ ในสงครามครั้งนี้กองทหารฝรั่งเศส ผนวกไรน์แลนด์ใน ค.ศ. ๑๗๙๓ แล้วเข้าจัดการปกครองดินแดนนี้อยู่จน ถึง ค.ศ.๑๘๑๔ หลังจากที่จักรพรรดิ นโปเลียนของฝรั่งเศสแพ้สงคราม จึงต้องยกดินแดนให้แก่ปรัสเซีย  แต่ ผลจากการยึดครองนั้นทำให้อิทธิพล ของแนวคิดปฏิวัติแบบฝรั่งเศสใน ด้านสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ยังคงส่งอิทธิพลอยู่ในเขตไรน์แลนด์ นี้ด้วย   ดังนั้นปัญญาชนจำนวนไม่ น้อยไม่พอใจต่อการที่เขตไรน์แลนด์ ต้องตกเป็นของปรัสเซีย เพราะการ ปกครองของรัฐปรัสเซียเป็นแบบ อัตตาธิปไตยภายใต้กษัตริย์เฟรดเดอริก วิลเฮมที่ ๓  แต่ไม่อาจจะต้านทาน พลานุภาพของปรัสเซียได้
    ประเด็นที่น่าสนใจต่อมาก็คือ ใน สมัยวัยเด็กของมาร์กซนั้นไรน์แลนด์ กำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจจากการ ที่ “การผลิตไวน์” ซึ่งเป็น การผลิตที่ สำคัญแต่เดิมมาของแคว้นตกต่ำลง ในสมัยหลังสงครามนโปเลียน เพราะประสบกับการแข่งขันอย่างมาก จากไวน์ของเขตอื่นๆ   เมืองเทรียร์ ขณะนั้น จึงมีการว่างงานในอัตรา สูงมาก และประชาชนจำนวนมากที่ยากจนจากชนบทอพยพสู่เมือง ทำให้ปัญหาความยากจนในเมือง เพิ่มทวีอย่างมาก  ภายใต้ภาวะเช่นนี้เอง อิทธิพลของแนวคิดสังคม นิยมฝรั่งเศสเริ่มเผยแพร่ในเมือง เทรียร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคม นิยมยูโทเปียของแซงซิมอน 2
 บิดาของคาร์ล มาร์กซ คือ เฮสเชล มาร์กซ เกิดเมื่อ ค.ศ. ๑๗๘๒  ในครอบครัวของชนชั้นสูง ชาวยิวโดยเป็นบุตรชาย คนที่สาม ของ เมเยียร์ ฮาเวลี มาร์กซ  ซึ่ง ดำรงตำแหน่งแรบไบแห่งเทรียร์ 3 แต่บิดาของมาร์กซไม่ติดยึดกับ ศรัทธาในศาสนายิวมากนัก เฮสเชล มาร์กซ เป็นนักกฎหมาย เขารับ ราชการเป็นเจ้าหน้าที่ศาลเมือง เทรียร์  และเป็นนายกสมาคม ทนายความของเมืองด้วย  เขาได้ เปลี่ยนชื่อมาเป็น “ไฮน์ริช” และ เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริตศาสนา นิกายโปรเตสแตนต์เมื่อ ค.ศ.๑๘๑๗ หลังจากที่ไรน์แลนด์ตกเป็นของ ปรัสเซียแล้ว เพื่อที่ว่าจะสามารถ รับราชการกับปรัสเซียต่อไปได้  ทั้งที่เขตไรน์แลนด์นั้นเป็นเขตของ ชาวคริสตศาสนานิกายคาธอลิก  โปรเตสแตนต์นั้นเป็นเพียงชนส่วน น้อย เพียงแต่ว่านิกายโปรเตสแตนต์เป็นนิกายหลักในรัฐปรัสเซีย
    สำหรับมารดาของ มาร์กซ ชื่อ เฮนเรียตตา เป็นสตรีชาวยิว จากฮอลแลนด์ ซึ่งได้รับการศึกษา มาน้อยมากเพราะในสมัยนั้นสตรียิว ไม่มีสิทธิที่จะได้รับการศึกษา  มารดาของ มาร์กซ  ยังคงยึดมั่นในศาสนายิวมากกว่า และอาจจะไม่ได้ เปลี่ยนความเชื่อเป็นคริสต์  ดังนั้น คาร์ล มาร์กซ ในวัยเด็กจึงยังคงได้ รับอิทธิพลของศาสนายิวอยู่มาก
     จากหลักฐานที่ปรากฏ ไฮน์ริช มาร์กซ นั้นเป็นปัญญาชนที่มีความรู้ดีและเป็นนักคิดเสรีนิยม มีความ สนใจอย่างยิ่งต่อแนวคิดของนัก ปรัชญา “ภูมิธรรม” ของ ฝรั่งเศส 4 เช่น วอลแตร์ และรุสโซ และยังให้ ความสำคัญแก่การตีความหลัก ศาสนา ในแง่ของการรักษาคุณ ธรรม ยิ่งกว่าความยึดมั่นหรือ ศรัทธาต่อพระเจ้า ซึ่งจะส่งผลต่อ ความคิดของคาร์ลต่อมา นอกจากนี้ แล้วในระหว่างที่ฝรั่งเศสยึดครอง ไรน์แลนด์ ไฮน์ริช เป็นคนหนึ่งที่ เข้าร่วมในสมาคมปัญญาชนเสรีนิยม แห่งเมืองเทรียร์ที่ชื่อว่า “คาสิโนคลับ แห่งเทรียร์” ซึ่งมีบทบาทในช่วงหลัง การปฏิวัติยุโรป ค.ศ. ๑๘๓๐
     ฐานะทางการเงินของครอบครัว มาร์กซ ไม่อยู่ในสภาพที่ลำบากและ เดือดร้อนไฮน์ริช  นอกจากจะเป็น นักกฎหมาย ยังเป็นเจ้าของไร่องุ่น แปลงหนึ่งนอกเมือง เขามีบ้านใหญ่ พอสมควร และมีคนรับใช้ ๒ คน ทำงานบ้าน เขามีลูกถึง ๙ คน โดย คาร์ล มาร์กซ เป็นคนที่สาม แต่ ปรากฏว่าพี่น้องของ คาร์ล  มาร์กซ ถึงแก่กรรมตั้งแต่วัยเด็กถึง ๕ คน เหลือเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพียง ๔  คน ในจำนวนนี้มี คาร์ล มาร์กซ แต่เพียงผู้เดียวที่เป็นชาย นอกนั้น เป็นผู้หญิงคือ โซฟี ซึ่งเป็นพี่สาว แต่งงานกับทนายความชาวดัชท์ ส่วนน้องสาวคนหนึ่งชื่อ หลุยส์ แต่งงานกับชาวดัชท์เช่นกัน และ อพยพไปอยู่แอฟริกาใต้ และน้อง สาวที่ชื่อ จูทา แต่งงานกับวิศวกร และอาศัยอยู่ในเมืองเทรียร์ต่อมา
 คาร์ล มาร์กซ ได้รับการ ศึกษาอยู่ในครอบครัวจนอายุได้ ๑๒ ปี ใน ค.ศ. ๑๘๓๐ จึงได้เข้าโรงเรียน มัธยมซึ่งเคยเป็นของนิกายเจซูอิต แต่ขณะนั้นโรงเรียนนี้ชื่อว่า โรงเรียน มัธยมเฟรเดอริกวิลเฮม ตามนาม ของกษัตริย์ปรัสเซีย ปรากฏว่าครูที่ มีอิทธิพลอย่างมากต่อ คาร์ล มาร์กซ ในสมัยที่ศึกษาที่โรงเรียน นี้ก็คือ ฮูโก วีทเทนบัค ซึ่งเป็น ครูใหญ่และเป็นครูสอนประวัติ ศาสตร์  เป็นนักเสรีนิยมเช่นกัน วีทเทนบัค เข้าร่วมในการเดิน ขบวนใหญ่เรียกร้องเสรีภาพใน ด้านการพิมพ์เมื่อ ค.ศ. ๑๘๓๒ ปรากฏว่าถูกตำรวจจับกุม และ โรงเรียนก็ถูกตำรวจปรัสเซียเข้าค้น ในที่สุด ได้มีการเปลี่ยนตัวครูใหญ เป็นบุคคลที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมเ เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อ คาร์ล มาร์กซ ในวัยเด็กอย่างมาก อย่างไร ก็ตาม คาร์ล มาร์กซ ก็ยังคงศึกษา ต่อไปจนจบชั้นสูงสุดของโรงเรียน เมื่อ ค.ศ. ๑๘๓๕ ในขณะนั้นเขามี อายุได้ ๑๗ ปี และเขาเป็นนักเรียน ที่มีผลการศึกษาค่อนข้างดี โดย เฉพาะในวิชาภาษา กรีก ภาษา ลาติน และการแต่งโคลงกลอน แต่ คณิตศาสตร์อยู่ในระดับอ่อน และ ที่น่าแปลกก็คือ วิชาประวัติศาสตร์ของเขาคะแนนไม่อยู่ในระดับที่ดี
 ในระหว่างที่เขาใช้ชีวิตใน วัยเด็กนี้มีบุคคลอีกผู้หนึ่งซึ่งมีอิทธิพล ต่อชีวิตของเขาอย่างมาก ก็คือลุดวิก แห่งเวสฟาเลน  ลุดวิก เกิดเมื่อ ค.ศ. ๑๗๗๐ เป็นบุตรของชนชั้นกลางที่ ได้เลื่อนฐานะขึ้นเป็นขุนนาง เขาจึง ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น บารอน แห่ง เวสฟาเลน อย่างไรก็ตามเขาเป็นคน ที่มีทัศนะเสรีนิยม เป็นผู้สนับสนุน การปฏิวัติฝรั่งเศสและได้รับราชการ เป็นผู้บริหารระดับสูงของรัฐไรน์แลนด์ ในสมัยที่ฝรั่งเศสปกครอง  หลังจาก สงครามนโปเลียน เขารับตำแหน่ง เป็นนายกเทศมนตรี เมืองเทรียร์ และมีบ้านพักอาศัยใกล้กับบ้านของ มาร์กซ   บารอนแห่งเวสต์ฟาเลน จึงกลายเป็น เพื่อนสนิทกับไฮน์ริช และเป็นผู้ที่ส่งอิทธิพลทางความคิด แก่ คาร์ล มาร์กซ ในวัยเด็ก ธิดา คนสุดท้องของบารอน ชื่อ เจนนี เวสฟาเลน ซึ่งเกิดใน ค.ศ. ๑๘๑๔ ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทในวัยเด็กของ โซฟี มาร์กซ พี่สาวของคาร์ล และต่อมา เมื่อคาร์ลโตขึ้นจนอายุได้ ๑๗  ปี เจนนีก็เปลี่ยนสถานะเป็น คนรักของ คาร์ล มาร์กซ โดยที่มี อายุมากกว่าคาร์ล ๔ ปี  โซฟี ซึ่ง เป็นพี่สาวนั้นเองที่ทำหน้าที่เป็น แม่สื่อระหว่างคนทั้งสอง
๓. ชีวิตมหาวิทยาลัย
 เมื่อจบการศึกษาจาก โรงเรียนมัธยม ในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๘๓๕  คาร์ล มาร์กซ ซึ่งมีอายุ ๑๗ ปี ก็เดินทางไปยังเมืองบอนน์ ซึ่งเป็นเมืองมหาวิทยาลัยขนาดเล็ก ริมแม่น้ำไรน์ ขึ้นไปทางทิศเหนือ ของเมืองเทรียร์ ในขณะนั้นเมือง บอนน์อยู่ในเขตรัฐปรัสเซียเช่นกัน และเป็นเมืองศูนย์กลาง ด้านภูมิปัญญาในเขตไรน์แลนด์ คาร์ลมาร์กซ เข้าศึกษาต่อที่ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบอนน์ ความจริงก่อนหน้าที่ จะเดินทาง มาศึกษา เกิดกระแสปฏิวัติแพร่ สะพัดในยุโรปเมื่อ ค.ศ.๑๘๒๐ หลังจากที่เกิดการปฏิวัติโค่น พระเจ้าชาร์ลที่ ๑๐ ในฝรั่งเศส ปรากฏว่า ปัญญาชนเสรีนิยม ในรัฐปรัสเซียก็ได้เรียกร้อง การ ปฏิรูปให้กษัตริย์เฟรเดอริกวิลเฮม พระราชทานรัฐธรรมนูญ และให้ มีรัฐสภาแต่ปรากฏว่ารัฐบาล ปรัสเซีย ตัดสินใจปราบปรามจับกุม ถึงกระนั้นเมื่อ คาร์ล มาร์กซ เดินทางไปถึงมหาวิทยาลัย อิทธิพล ของกระแสดังกล่าวยังคงหลงเหลือ อยู่บ้าง ในระยะแรก คาร์ล มาร์กซ มิได้สนใจกระแสทางสังคมมากนัก เขายังคงใช้ชีวิตเหมือนนักศึกษาทั่วไป ตกเย็นก็ยังเข้าสโมสร ดื่มสุรา และเล่นไพ่ กับเพื่อน นักศึกษา จากเมืองเทรียร์ และแม้กระทั่ง จับกลุ่มวิวาทกับนักศึกษาจากเมืองอื่น ความสนใจของมาร์กซ ใน ค.ศ. ๑๘๓๖ ยังคงเป็นเรื่องการแต่ง บทกวีมากยิ่งกว่าสนใจวิชากฎหมาย คาร์ล มาร์กซ ใช้ชีวิตอยู่ที่เมือง บอนน์ราว ๑ ปี ไฮน์ริช ก็ตัดสินใจส่ง ลูกชายไปเรียนที่กรุงเบอร์ลินแทน
     คาร์ล มาร์กซ กลับมาบ้านที่ เมืองเทรียร์ และหมั้นกับเจนนีจาก นั้นก็ออกเดินทางข้ามประเทศไปยัง กรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของปรัสเซีย ซึ่งใน ค.ศ. ๑๘๓๗ นั้นเป็นเมือง ใหญ่ของยุโรป มีประชากรราว ๓ แสนคน คาร์ล มาร์กซ ได้เข้า ศึกษาในคณะนิติศาสตร์ของ มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ปรากฏว่าใน ระยะแรกที่  คาร์ล  มาร์กซ  อยู่ที่ เบอร์ลิน ก็ยังคงใช้ชีวิตแบบพาฝัน  สนใจโคลงกลอน และแต่งบทกวีรัก ถึงเจนนี  แต่กระนั้นบรรยากาศของ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย เบอร์ลิน ทำให้คาร์ล มาร์กซ เริ่ม เปลี่ยนแปลง เพราะมหาวิทยาลัยนี้ เป็นศูนย์กลางของความคิดที่ก้าวหน้า ในดินแดนเยอรมันยุคสมัยนั้น อาจารย์คนสำคัญคือ เอดวาร์ด กานส์ ซึ่งสอน คาร์ล มาร์กซ ใน ภาคการศึกษาแรก เป็นปัญญาชน เสรีนิยมที่สนับสนุนการปฏิวัติยุโรป ค.ศ. ๑๘๓๐ และนิยมในความคิด ของแซงต์ซิมอน  นอกจากนี้ใน คณะนิติศาสตร์ก็มีกระแสถกเถียงกัน อย่างมากระหว่างแนวคิดทางนิติ ปรัชญา ๒ แนวทาง คือ แนวคิดด้าน กฎหมายแบบปฏิวัติฝรั่งเศส ที่ถือว่า กฎหมายเป็นสัญญาระหว่างรัฐกับ ประชาชนซึ่งจะทำให้รัฐต้องปฏิบัติตาม เจตนารมย์ และต้องประกันสิทธิ เสรีภาพของประชาชน กับอีก แนวคิดหนึ่งคือ แนวคิดกฎหมาย แบบอนุรักษ์นิยมปรัสเซีย ที่ถือว่า กฎหมายเป็นคำสั่งของรัฐและกษัตริย์ ที่ประชาชนจะต้องปฏิบัติตาม การ ถกเถียงในเรื่องแนวคิดทางกฎหมาย นี้เอง ทำให้มาร์กซเริ่มสนใจวิชา ปรัชญามากขึ้น จนในที่สุดเขาก็ เขียนบทกวีน้อยลง และได้ทุ่มเท เวลาให้กับการศึกษามากขึ้น
 ปรากฏว่าในปีการศึกษา แรกนี้ คาร์ล มาร์กซ เริ่มทุ่มเทกับ การศึกษามากจนกระทั่งล้มป่วย ด้วยวัณโรค จนมีอาการหนักมาก แพทย์ต้องแนะนำให้เขาออก ไปพักผ่อนในชนบท แต่กระนั้น อาการป่วยนี้ก็ทำให้เขาได้รับการ ผ่อนผันในด้านการเกณฑ์ทหาร ซึ่งรัฐปรัสเซียได้นำกฎหมายเกณฑ์ ทหารมาใช้นับตั้งแต่สมัยสงคราม นโปเลียน และในที่สุดอาการวัณโรค ก็ทำให้ คาร์ล มาร์กซ ได้รับการ ยกเว้นอย่างสิ้นเชิง แต่ในระยะที่ เขาป่วยนี้เอง ทำให้เขาได้อ่านงาน ของเฮเกลอย่างจริงจังและจะทำให้เขา กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้สนับสนุน แนวคิดของเฮเกล ซึ่งจะเป็นการ เปลี่ยนชีวิตของเขาโดยสิ้นเชิง โดย เฉพาะทำให้เขาเลิกสนใจวิชากฎหมาย มาสนใจวิชาปรัชญาอย่างจริงจัง
    เหตุการณ์สำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของ คาร์ล มาร์กซ อย่างมากในระยะนี้คือ การถึงแก่กรรมของ ไฮน์ริช มาร์กซ เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๘๓๘
 การถึงแก่กรรมของบิดาทำให้เขามีปัญหาการเงินมากขึ้น  แต่ใน ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาสามารถ ล้มเลิกการศึกษาวิชากฎหมายได้ สะดวกมากขึ้น  ดังนั้นวิชาปรัชญา และประวัติศาสตร์จึงกลายเป็น เป้าหมายในการศึกษาของเขาต่อไป 
1 รัฐปรัสเซียได้นำรัฐเยอรมันต่าง ๆ รวมประเทศอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. ๑๘๗๑
2 สังคมนิยมยูโทเปีย (Eutopian Socialosm) เป็นแนวคิดสังคมนิยมก่อนหน้าสมัยของ คาร์ล มาร์กซ  ซึ่งมักจะแปลเป็นภาษาไทยว่า “สังคมนิยมเพ้อฝัน”  แต่ในที่นี้ผู้เขียนต้องการจะใช้ทับศัพท์ว่า สังคมนิยมยูโทเปีย เพราะคำว่าสังคมนิยมเพ้อฝันดูจะเป็นการให้น้ำหนักแก่แนวคิดในลักษณะนี้น้อยเกินไป
 อังรี  เดอ  แซงต์ซิมอน   เป็นผู้เสนอแนวคิดสังคมนิยม  โดยเห็นว่า กรรมสิทธิ์เอกชนเป็นที่มาของความชั่วร้าย และให้คุณค่าการใช้แรงงานว่าเป็นที่มาของโภคทรัพย์  โจมตีชนชั้นปกครองท่ไม่ทำงานว่าเป็นกาฝากของสังคมต้องขจัดออกไป
3 แรบไบ เป็นตำแหน่งนักบวชในศาสนาฮิบรูของชาวยิว
4 เป็นสำนักปรัชญาของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ ๑๘ ซึ่งเชื่อว่า เหตุผลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำให้โลกพบกับแสงสว่าง

วัดหนองโว้ง(พระอารามหลวง)

วัดหนองโว้ง(พระอารามหลวง)
ตำบลเมืองบางยม อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย

พระวิสัน (พธบ./รปม)

รูปแบบ การวิจัย โดย ผศ.(พิเศษ) นภดล สุชาติ พ.บ M.P.H

อ้างอิงจาก http://www.slideshare.net/guest9e1b8/9-presentation-948269

South East Asia University

สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

ตัวแบบนโยบายสาธารณะสมัยใหม่

กิจกรรมดูงานเชื่อมสายสัมพันธ์ MPA12and MPA13

Download

เสียงปลง

Nonstop - I'm The Sexy Girl - DJ Back Up