แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตามรอยพญาศรีสุทโธ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตามรอยพญาศรีสุทโธ แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555






ในตำนานเล่าว่าหลังจากที่ พญาศรีสุทโธนาค ขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์เพื่อขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์ ซึ่งขอไว้
3 แห่งด้วยกัน โดยแห่งแรกจะอยู่ที่พระธาตุหลวง ในนครเวียงจันทน์  ส่วน แห่งที่สองนั้นจะอยู่ที่หนองคันแท และแห่งสุดท้ายนั้นอยู่ที่คำชะโนด ซึ่งสถานแห่งที่สามนี้ เป็นสถานที่ที่บรรดาเทวาดาที่อยู่ในชั้นพรหมที่หมดบุญ จะต้องลงมากินง้วนดินซึ่งเหมือนกับดินที่มีกลิ่นหอมๆหลังถูกไฟเผา ดังนั้นเราจึงอาจจะเรียกสถานที่ตรงคำชะโนดนี้อีกชื่อหนึ่งก็ได้ว่า พรหมประกายโลก โดยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะมีต้นไม้ประหลาดที่ชื่อ ต้นชะโนด ขึ้นเป็นสัญลักษณ์อยู่ ซึ่งต้นชะโนดนี้จะมีลักษณะเหมือนต้นไม้สามชนิด คือต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาลผสมกัน โดยต้นไม้ชนิดนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะตรงสถานที่แห่งนี้เพียงแห่งเดียวในโลกเท่า นั้น
ป่าชะโนด ที่มีอายุมาหลายร้อยปีแห่งนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ราวๆ 20 ไร่ บนต.วังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี เมื่อปี 2520 เคยมีชาวบ้านทำการออกสำรวจนับต้นชะโนดในป่าแห่งนี้ ซึ่งมีอยู่ราว 2,000 กว่าต้น ต่อมาในปี 2544 ชาวบ้านในละแวกนี้ได้มีการสำรวจอีกครั้ง พบว่าต้นชะโนดนั้นลดจำนวนลงเหลือเพียง 1,865 ต้น ถึงกระนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศที่ชวนวังเวง แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ บริเวณใกล้เคียงรอบๆออกนอกอาณาเขตจากสถานที่ศักดิ์ของพญานาคาแห่งนี้แล้ว เราไม่อาจพบต้นไม้ชนิดนี้ได้เลย  
คำ โบราณที่เชื่อว่า มะพร้าว มีความเกี่ยวโยงกับอีกภพภูมิหนึ่งนั้น ยังเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ใหม่ก้าวหน้าไปยังไม่ถึง ที่จะอธิบายให้ได้ว่า ทั้งสองสิ่งนี้มีความเกี่ยวโยงกันอย่างไร ตามที่คนโบราณเล่าขานสืบต่อกันมา ดั่งเช่น หากมะพร้าวต้นใดที่ต้นอ่อนแทงขึ้นตรงกับจุกแล้วละก็ มะพร้าวต้นนั้นเมื่อโตขึ้นจะถูกฟ้าผ่า ซึ่งเรื่องนี้ เป็นความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ แต่เหตุไฉนบรรพบุรุษของพวกเราถึงได้ล่วงรู้ปรากฏการณ์ธรรมชาติเหล่านี้
 ดั่ง เช่นต้นชะโนด ที่เชื่อมโยงระหว่างมิติของเมืองบาดาล กับมิติของโลกมนุษย์ และในอดีตก็เคยมีคนพยายามเอาต้นชะโนดไปปลูกที่อื่น แต่ไม่นานก็ต้องเอากลับมาคืนที่เดิม เพราะอาถรรพณ์ส่งผลให้ชีวิตการงาน ชีวิตครอบครัวมีแต่ความย่อยยับเดือดร้อน แม้แค่เอาเมล็ดหรือส่วนใดส่วนหนึ่งออกจากป่าแห่งนี้ สุดท้ายต้องเอามาคืนกันทุกคน
มี เรื่องเล่าแปลกๆมากมายจากผู้ที่เคยเข้าไปสัมผัสกับป่าแห่งนี้ มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่อาจจะฟังมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่หากจะเล่าอีกสักครั้งก็คงจะไม่เบื่อ นั่นก็คือเหตุการณ์เมื่อ พ.ศ.2532 นายธงชัย แสงชัย เจ้าของบริษัทหนังเร่ได้เล่าว่า ตนเองถูกว่าจ้างจากใครคนหนึ่งให้ไปฉายหนังกลางแปลงซึ่งกำลังมีงานวัด ที่หมู่บ้านวังทอง แถวป่าคำชะโนด ด้วยจำนวนเงินที่ตกลงกันคือ 4,000 บาท แต่มีข้อแม้อยู่ว่า ต้องฉายให้จบไม่เกินตี 4 ของ วันใหม่ และให้ออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง โดยหลังจากเก็บสมภาระเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ในการฉายแล้ว ระหว่างเดินทางกลับห้ามหันหลังกลับมามอง
ในครั้งนั้นนายธงชัยได้ไปกับลูกน้องอีก 4 คน โดยบรรทุกเครื่องมือและอุปกรณ์การฉายใส่รถ 6 ล้อ แล้วออกจากตัวจังหวัดในเวลาราวบ่ายแก่ ๆ ทำให้ไปถึงป่าคำชะโนดก็เริ่มพลบค่ำ ยิ่งเมื่อขับเข้าไปตามทางที่ผู้ว่าจ้างบอกก็ไม่เห็นว่าจะเจอหมู่บ้านหรือคน ที่จะมารับ จึงนึกว่าหลงทาง ระหว่างการตัดสินใจว่าจะย้อนกลับ ก็กลับมีผู้หญิง 2 คนใส่ชุดดำมาร้องเรียกว่าและอาสาจะนำทางไปส่งที่วัด ดังนั้นเขาจึงรับขึ้นรถ แต่ก็ข่มความสงสัยที่ว่า 2 คน นี้โผล่มาจากไหนในที่มืดๆข้างทางอย่างนี้ แต่เมื่อขับรถเข้าไปในหมู่บ้านก็ยิ่งให้เพิ่มความสงสัยขึ้นไปอีก เพราะโดยปรกติงานวัดทุกแห่งที่เคยประสบพบเห็นมา จะต้องมีเสียงลำโพงจากเครื่องขยายเสียง แต่งานวัดในครั้งนี้กลับไม่มีเสียงของหมอลำ หรือการละเล่นอะไรเลยสักชนิดเดียว แต่แกก็แอบสะกดความสงสัยอยู่ในใจคนเดียวอย่างเงียบเชียบ และเมื่อขับรถผ่านเข้ามาพร้อมเก็บความสงสัยจนไปถึงหมู่บ้าน ก็มีคนอีกชุดออกมารับ แต่ ก็แปลกที่ว่าทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้จะใส่เสื้อผ้าเพียงสีขาวกับสีดำเท่านั้น เอง โดยแยกว่าถ้าเป็นผู้ชายจะใส่ด้วยชุดสีขาว หากเป็นผู้หญิงจะใส่ด้วยชุดสีดำ แยกออกจากกันอย่างชัดเจนไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก แต่ที่แปลกไปกว่านั้น ทุกคนจะทาหน้าด้วยแป้งสีขาวเหมือนกันหมด
เมื่อ ไปถึงสถานที่ที่ผู้ว่าจ้างสั่ง ทีมงานทุกคนก็เริ่มตั้งจอภาพยนตร์ เดินสายไฟ และเปิดเครื่องปั่นไฟ ระหว่างที่กำลังกุลีกุจอติดตั้งอุปกรณ์การฉายอยู่นั้น ก็เริ่มเห็นผู้คนทยอยกันออกมานั่งหน้าจอ แต่จะนั่งแยกชายหญิงชัดเจนไม่รวมกัน และตามปกติของงานวัดทั่วไปจะต้องมีแม่ค้ามาขายน้ำ ขายถั่ว ขายลูกชิ้นปิ้ง แต่ที่นี่กลับไม่มีแม่ค้าแม้สักรายเดียว ทุกคนที่มาดูหนังก็จะนั่งกันด้วยความเรียบร้อย ไม่มีแม้แต่เสียงหัวเราะหรือการแสดงอารมณ์อะไรเลย ยังจำอย่างมิเคยลืมเลือนว่า บรรยากาศตอนหลังเที่ยงคืนจะยิ่งรู้สึกวังเวงและน่ากลัวมาก คืนนั้นจ้าภาพได้จัดข้าวต้มถ้วยเล็กๆมาให้ทีมงานฉายหนังกินกัน เป็นข้าวต้มซีดๆ กับเนื้อชิ้นเล็กๆ ซึ่งต้องกินแบบเสียมิได้แต่กลับประหลาดใจว่าเป็นข้าวต้มที่อร่อยที่สุดที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน หลังจากฉายหนังจบประมาณตี 2 ผู้ คนต่างก็แยกย้ายกันกลับด้วยเวลาเพียงครู่เดียวไม่มีใครเหลืออยู่เลยแม้สักคน เดียว หลังจากที่ทีมงานเก็บอุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อย มีผู้หญิงสองคนอาสานั่งรถออกมาส่งเช่นเดิม ก่อนจะล่ำลาได้จ่ายค่าจ้างที่เหลือซึ่งเป็นเงินเหรียญทั้งหมด เมื่อผู้หญิงทั้งคู่มาส่งถึงปากทางก็ขอลาแล้วลงรถไป แม้จะผิดสัญญาด้วยการหันกลับไปดู แต่ก็ไม่พบผู้หญิง 2 คนที่มาส่งนั้นเสียแล้ว 

ที่ผืนป่าคำชะโนดแห่งนี้ยังมีเรื่องน่าอัศจรรย์อื่นๆ อีกมากมาย ในอดีตจะห้ามคนใส่เสื้อแดงเข้ามาในบริเวณป่าแห่งนี้โดยเด็ดขาด ใครใส่เข้ามาที่นี่จะพบกับอาถรรพณ์แล้วอยู่ไม่ได้นานก็ต้องรีบออกไป หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไม แต่ต่อมาภายหลังจากที่หลวงตาคำ สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศรีสุทโธ ซึ่งเป็นวัดในละแวกนั้นได้ทำพิธีขอยกเว้น จึงใส่เข้าไปได้ และที่กลางดงชะโนดแห่งนี้ จะมีบ่อน้ำขนาดเล็กๆที่มีน้ำซึมชุ่มเย็นอยู่ทั้งปี มีชาวบ้านหลายคนที่มีศรัทธาได้อธิษฐานตรงหน้าบ่อน้ำก็ได้ตามประสงค์ บางคนเจ็บป่วยไปดื่มหรืออาบโรคร้ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง สร้างความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งนี้ก็จะเกิดขึ้นเฉพาะคนที่ศรัทธาเท่านั้นไม่ใช่จะเกิดขึ้นกับทุกคน  เวลา น้ำแล้งก็จะเห็นว่าแผ่นดินรอบๆป่าเชื่อมต่อในระดับใกล้เคียงกับพื้นดินของ ป่าคำชะโนด แต่ในยามน้ำท่วมพื้นดินรอบๆป่าคำชะโนดจะถูกน้ำท่วมหมด แต่ปรากฏว่าป่าแห่งนี้น้ำจะไม่เคยท่วม แม้น้ำจะขึ้นสูงสักเพียงใดพื้นดินบริเวณแห่งนี้ก็จะไม่ท่วม จนชาวบ้านต่างเชื่อกันว่า ผืนป่าศักดิ์สิทธิ์คำชะโนดแห่งนี้ลอยน้ำได้ และยังเชื่ออีกว่าที่เป็นเช่นนี้จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจากเป็นเจตนาของผู้ดูแลที่ชื่อ พระศรีสุทโธ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งคำชะโนดแห่งนี้

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554




หาก มองสภาพภูมิประเทศในแถบบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณตั้งแต่จีน พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา และไทยเรื่อยลงมา จะพบว่าดินแดนแถบนี้ มีสภาพอันเหมาะสมที่จะเป็นแหล่งอาหารของสิ่งมีชีวิตอยู่เป็นอย่างมาก ในอดีตเราได้พบซากของสัตว์ดึกดำบรรพ เช่น ไดโนเสาร์ ในบริเวณพื้นที่แถบนี้มากกว่าบริเวณแถบอื่นๆบนโลก ไม่เว้นแม้แต่พญานาค จึงไม่แปลกใจที่เรื่องราวของพญานาค ได้เกิดขึ้นมาพร้อมๆกับประวัติศาสตร์บริเวณพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อย่าง มากมาย โดยเฉพาะบริเวณเกือบตลอดแนวของลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งถูกตอกย้ำด้วยตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาอีกด้วยว่า แม่น้ำโขงแห่งนี้ เกิดจากการขุดของพญานาค



แม่น้ำโขง
มี ต้นกำเนิดจากที่ราบสูงธิเบต แถบเทือกเขาตังกุลา มณฑลชิงไห่ ประเทศจีน โดยไหลผ่านมณฑลยูนานและออกจากประเทศจีนที่เมืองเชียงรุ้ง เป็นแม่น้ำสายยาวที่ทอดผ่านประเทศจีน พม่า ลาว ไทย เวียดนาม กัมพูชา มีความยาวตลอดสายประมาณ 4,880 กิโลเมตร โดยจะไหลลัดเลาะอยู่ในประเทศจีนประมาณ 2,130 กิโลเมตร เป็นเส้นเขตแดนกั้นระหว่างจีนกับพม่า ประมาณ 31 กิโลเมตร เป็นเส้นกั้นเขตแดนระหว่างพม่ากับลาวประมาณ 234 กิโลเมตร เป็นเส้นกั้นเขตแดนระหว่างไทยกับลาว ประมาณ 955 กิโลเมตร อยู่ในประเทศลาว ประมาณ 789 กิโลเมตร อยู่ในประเทศกัมพูชาประมาณ 490 กิโลเมตร อยู่ในประเทศเวียดนามประมาณ 230 กิโลเมตร ใน ส่วนของการเป็นเส้นกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับลาวนั้น ตอนบนจะกั้นระหว่างจังหวัดเชียงรายกับแขวงบ่อแก้วของลาว ส่วนในตอนล่างจะกั้นโดยกินพื้นที่ 6 จังหวัดในฝั่งไทบอันได้แก่ เลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ส่วนฝั่งลาวนั้นก็คือ เวียงจันทน์ บอลิคำไซ คำม่วน สะหวันนะเขต สาละวัน และจำปาสัก จากนั้นยังไหลเข้าสู่กัมพูชา ที่สตึงเตรง พนมเปญ แล้วเข้าสู่เวียดนาม ก่อนที่จะไหลออกสู่ทะเลจีนใต้     

ในตำนานของลาวเล่าว่า ในอดีตได้มีนาคสองตัวซึ่งเป็นมิตรสหายที่รักกันมาก ทั้งคู่อาศัยอยู่ที่หนองแส พญานาคที่ชื่อ พินทโยนกวตินาค จะปกครองอยู่ในหนอง ส่วนพญานาคที่ชื่อ ธนะมูลนาค  จะปกครองบริเวณท้ายหนอง และมีหลานชื่อ ชีวายนาค โดยพญานาคทั้งสองตกลงกันว่า ในหนองแสแห่งนี้ หากใครได้อาหารมาจะต้องแบ่งกันคนละครึ่ง แต่อยู่มาวันหนึ่ง มีช้างตัวหนึ่งตายที่ท้ายหนอง ธนะมูลนาค ก็จัดการแบ่งเนื้อช้างเป็นสองส่วนเท่าๆกัน โดยนำไปให้พินทโยนกวตินาคส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็เก็บเอาไว้กินเองส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน มีเม่นมาตายที่หัวหนอง พินทโยนกวตินาค ก็จัดการแบ่งเนื้อเม่นออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน แต่เมื่อธนะมูลนาคกินเนื้อเม่นหมดแล้วกลับไม่อิ่ม เคราะห์ซ้ำกรรมซัดบังเอิญเหลือบไปเห็นขนเม่นยาวตั้งคืบกองอยู่ ซึ่งมันยาวกว่าขนช้างอยู่มาก จึงคิดว่าสัตว์ที่เรียกว่าเม่นนี้ น่าจะเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าช้างอย่างแน่นอน จึงสร้างความไปพอใจโดยหาว่าพินทโยนกวตินาคผิดสัญญาที่เคยให้ไว้ โดยหวงเนื้อเม่นเพื่อเก็บเอาไว้กินเอง ทั้งๆ ที่ตนก็เคยแบ่งเนื้อช้างตามที่ตกลงกันอย่างไม่เคยบิดพลิ้ว จึงทำให้นาคทั้งสองเกิดการทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง สาเหตุจากการทำสงครามขิงพญานาคผู้ทรงฤทธิ์ทั้งคู่ จนทำให้น้ำขุ่นไปทั้งหนองแส  จาก การวิวาทในครั้งนั้นทำให้สัตว์ใหญ่น้อยที่ต้องพึงพาน้ำจากหนองดังกล่าวดื่ม กิน ต่างล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ร้อนถึงพระอินทร์ต้องส่งพระวิสสุกรรมลงมาขับไล่นาคทั้งหมดให้ออกจากหนองแส จึงทำให้นาคตัวอื่นๆ ต้องอพยพไปหาที่อยู่ใหม่ โดยระหว่างทางก็ขุดคุ้ยดินจนลึกกลายเป็นคลอง
ชีวายนาคขุดจนเกิดแม่น้ำอู หรืออีกชื่อหนึ่งคือ แม่น้ำอุรังคนที แล้วเลยไปถึงชีวายนที
ธนะมูลนาคก็ขุดจนเกิดแม่น้ำมูล
ส่วนพินทโยนกวตินาค ก็ขุดจนเกิดแม่น้ำพิง โดยตั้งชื่อเมืองใหม่นี้ว่า โยนก ตามชื่อของตน
ส่วนนาคตัวอื่นๆ ก็ขุดคุ้ยดินจนเกิดแม่น้ำสายต่างๆขึ้นมาอีกมากมาย

ส่วนในตำนานสุวรรณโคมคำ ก็มีโครงเรื่องคล้ายๆกัน โดยนาค ชื่อ พญาสุตตนาค ปกครองอยู่ทางทิศใต้หรือฝั่งไทยในปัจจุบัน พญาศรีสัตตนาค ปกครองอยู่ทางทิศเหนือหรือฝั่งลาวนั่นเอง หลังจากที่มีเรื่องวิวาทในการแบ่งเนื้อเม่นแล้ว พญาสุตตนาคเห็นว่าพญาศรีสัตตนาคคงมีกำลังสู้พวกของตนไม่ได้ จึงยกกำลังลงมาขับไล่พญาศรีสัตตนาคออกจากหนองแส จากการขุดคุ้ยหลบลี้จากการไล่ล่า จึงทำให้น้ำจากหนองแสไหลตามเส้นทางที่พญาศรีสัตตนาคใช้หลบหนี จนกลายเป็นแม่น้ำโขง
ทั้งนี้ตำนานแห่งคำชะโนดก็เล่าสืบต่อกันมามิได้แตกต่างกันนักว่า นาคที่ได้เนื้อช้างมานั้นชื่อ พญาศรีสุทโธ ส่วนนาคที่ได้เนื้อเม่นนั้นชื่อว่า พญาสุวรรณ การวิวาทของนาคทั้งสองกินเวลานานถึง 7 ปี จนทำให้สัตว์ต่างๆ ในแถบนั้นต่างได้รับความเดือดร้อนไปทั่วสระ ร้อนถึงพระอินทร์ต้องลงมาตัดสิน โดยมีโองการให้นาคทั้งสองหยุดรบกัน แล้วให้แยกกันออกไปหาที่อยู่ใหม่ โดยให้สร้างแม่น้ำจากหนองแสคนละสาย ใครถึงทะเลก่อนจะได้ปลาบึกลงไปอยู่ในแม่น้ำสายนั้น จากนั้นให้เอาภูเขาพญาไฟเป็นเขตกั้น หากใครลุกล้ำก็ให้ไฟจากภูเขาพญาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นมหาจุล

หลังจากได้รับโองการแล้ว พญาศรีสุทโธก็สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางตะวันออกของหนองแส เจอภูเขาขวางหน้าตรงไหน แม่น้ำก็คดโค้งไปตามภูเขา เพราะพญาศรีสุทโธเป็นนาคใจร้อน แม่น้ำนี้จึงเรียกว่า แม่น้ำโขง เพราะคำว่า โขง มาจากคำว่า โค้ง ส่วนพญาสุวรรณ ก็พาบริวารสร้างแม่น้ำลงไปทางใต้ พญาสุวรรณเป็นนาคใจเย็น พิถีพิถัน พยายามสร้างแม่น้ำให้ตรง ซึ่งแม่น้ำนี้เรียกว่าแม่น้ำน่าน ซึ่งเปรียบกับแม่น้ำสายอื่นแล้ว ถือว่าตรงกว่าทุกสาย ดังนั้นพญานาคาดั่งพระศรีสุทโธ จึงได้รับการยกย่องให้เป็นพญานาคาแห่งลำน้ำโขง

ตอนที่ 4 พญานาคกับพุทธศาสนา


หลัง จากการเราได้พบซากมนุษย์โบราณที่มีอายุเกือบห้าพันปีบนยอดภูเขาน้ำแข็ง พร้อมกับผิวหนังที่มีลอยสัก สิ่งหนึ่งที่มันสามารถบอกเราได้ว่าก็คือ ในอดีตคนยุโรปก็มีความเชื่อเรื่องของจิตวิญญาณ คนยุโรปเดิมก็เชื่อในจิตวิญญาณที่มีอยู่ในต้นไม้ ก้อนหิน ในป่า ในแม่น้ำ และเป็นพื้นฐานให้คนเคารพธรรมชาติ แต่มัน สูญหายไปเมื่อคราวที่คริสต์ศาสนากำเนิดขึ้นมา เพราะความเชื่อแบบคริสต์เป็นความเชื่อแบบเทวนิยม ชาวคริสต์ส่วนใหญ่จึงไม่มีพื้นที่พอ ที่จะแบ่งใจไปให้กับเทวะ หรือภูติผีอื่นๆ เรื่องของจิตวิญญาณจึงไม่ได้จำกัดเฉพาะในพุทธศาสนาอย่างที่ใครบางคนเข้าใจ

เรื่อง ราวที่ดูเหมือนจะเลยประสาทสัมผัสจนดูเหมือนกับว่ามันไม่ใช่ของที่มีอยู่จริง ในธรรมชาติ ดั่งเช่นในเรื่องของพญานาคา แต่ทั้งนี้มีหลายเรื่องที่พุทธศาสนาเคยกล่าวถึง แต่กว่าวิทยาศาสตร์จะพัฒนาเครื่องมือจนพบก็ต้องกินเวลาถึงมากกว่าสองพันปี เช่น เรื่องที่เล็กและใกล้ตัวมากที่สุดอย่างเรื่องราวของอนุปรมาณู ที่พุทธศาสนาอธิบายมาก่อนวิทยาศาสตร์ใหม่ว่ามันเป็นสิ่งที่เล็กกว่าอะตอม หรือเรื่องยิ่งใหญ่และไกลตัวมาก อย่างลักษณะการระเบิดตัวในจักรวาลที่มีรูปร่างคล้ายฟองน้ำ ที่ปัจจุบันวิทยาศาสตร์เพิ่งจะรู้จักสิ่งนี้ว่า บิ๊กแบง ดังนั้นการจะกล่าวว่าเรื่องพญานาคที่มีบันทึกอยู่ในพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่อง ที่โคมลอยขาดหลักฐาน ซึ่งน่าจะกล่าวแบบยอมรับว่า ความรู้ความก้าวหน้าในวิทยาศาสตร์ใหม่ยังก้าวไปไม่ถึงจึงน่าจะสมเหตุสมผล มากกว่า

พุทธศาสนากล่าว่า พญานาคาหรือนาคราช นั้น มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว โดยในพุทธศาสนาจะหมายถึงแต่ในส่วนที่เป็นกายทิพย์ของงู ซึ่งจัดอยู่ในพวกเดรัจฉานภูมิ ซึ่งพระพุทธเจ้าเองก็ยอมรับว่าในอดีต พระองค์ก็เคยเกิดเป็นพญานาค โดยในชาติที่เกิดเป็นพญานาคในครั้งอดีตนั้นชื่อว่า ภูริทัตต์ ซึ่งได้ขึ้นมาบำเพ็ญศีลบนฝั่งแม่น้ำยมุนา
แล้วถูกหมองูชื่อ อาลัมพายน์ จับเอาตัวไป

ในชาติสุดท้ายที่พระพุทธองค์เกิดเป็นมนุษย์แต่ยังไม่ได้ตรัสรู้ พระองค์ทรงลอยถาดทอง
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ซึ่งในครั้งนั้นถาดทองที่พระองค์ทรงลอยเสี่ยงทายนั้นได้จมลงไปสู่เมืองของพญานาคที่ชื่อ ภุชคินทร์ เมื่อถาดทองจมลึกลงไปสู่ก้นแม่น้ำ ถาดของพระองค์ได้ไปกระทบถาดของพระพุทะเจ้าองค์ก่อนๆจนเกิดเสียงดังกิ๊ก จึงทำให้พญานาคภุชคินทร์ ที่ปรกติจะนอนหลับตื่นขึ้น

อีกครั้งหนึ่งคือ เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุขอยู่ภายใต้ต้นจิกบริเวณริมสระน้ำ ซึ่ง ขณะนั้นพระองค์เพิ่งจะตรัสรู้ได้เพียง 45 วันเท่านั้น แล้วจู่ๆได้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันถึง 7 วัน 7 คืนอย่างไม่ยอมหยุด ในครั้งนั้นได้มีพญานาคที่ชื่อ มุจลินทร์ เลื้อยขึ้นมาจากสระน้ำ และได้แผ่พังพานประกอบกับขดตัวรอบพระวรกายของพระพุทธเจ้าเอาไว้ เพื่อปกคลุมพระวรกายของพระพุทธองค์ไม่ให้โดนฝนอันหนาวเหน็บ

หลังจากนั้นอีกหลายปี เมื่อพระพุทธเจ้าต้องเสด็จไปเทวโลกพร้อมด้วยพระอรหันต์ที่ติดตามอีกจำนวน 500 รูป ซึ่งการเดินทางในครั้งนั้น พระองค์ต้องผ่านวิมานพญานาค ที่กำลังมีการรื่นเริงกันอย่างสนุกสนาน โดยมี นันโทปนันทนาคราช เป็นผู้ปกครองดูแลเหล่าพญานาค เมื่อเห็นคณะสงฆ์เดินทางผ่านไปเหนือวิมานของตนจึงเกิดความโกรธ โดยได้ตรงไปยังเขาพระสุเมรุ แล้วแปลงของตนให้กลายเป็นพญานาคขนาดใหญ่ พันโอบรอบเขาพระสุเมรุเอาไว้ถึง 7 รอบ มิหน่ำซ้ำยังได้แผ่พังพานเพื่อบดบังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เอาไว้อีกด้วย เจตนานั้นก็เพื่อไม่ให้พระพุทธเจ้าและคณะสงฆ์ผ่านไปได้ จนพระโมคคัลลานะ ผู้ซึ่งตามเสด็จไปในครั้งนั้นด้วย อาสาที่จะปราบพญานาคที่มีมิจฉาทิฐิอย่างนันโทปนันทนาคราชตนนี้ โดยพระโมคคัลลานะได้แปลงกายเป็นพญานาคราชที่มีขนาดใหญ่กว่าถึงเท่าตัว แล้วพันรัดตรึงร่างของนันโทปะนันทะนาคราช เอาไว้ถึง 14 รอบ อันเป็นการเพิ่มความโกระให้กับนันโทปะนันทะนาคราชเป็นอย่างยิ่ง จึงบันดาลให้เกิดไฟลุกขึ้น แต่พระโมคคัลลานะ ก็บันดาลให้เกิดเปลวไฟลุกขึ้นเช่นกัน

นันโทปะนันทะนาคราชตระหนักดีว่า วิธีนี้คงจะสู้พระโมคคัลลานะไม่ไหว จึงถามออกไปว่า " ท่านเป็นใคร"

พระโมคคัลลานะจึงตอบว่า "เราคือโมคคัลลานะ ศิษย์ของตถาคต"

แล้ว นันโทปะนันทะนาคราช ก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกให้พระโมคคัลลานะกัลป์คืนร่างเป็นพระเหมือนเดิม แต่ด้วยนิสัยของผู้รู้ว่า นันโทปะนันทะนาคราช เป็นพญานาคที่ไม่ยอมสยบยอมพ่ายแพ้ใครโดยง่าย จึงได้แปลงร่างให้เล็กแล้วเข้าไปในรูหู จนนันโทปะนันทะนาคราช ทนไม่ไหวจึงหนีไป พระโมคคัลลานะ จึงแปลงร่างเป็นพญาครุฑไล่ติดตามไปอีกอย่างกระชั้นชิด เมื่อนันโทปะนันทะนาคราชหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงแปลงร่างเป็นชายหนุ่มและยอมแพ้แก่พระโมคคัลลานะ จนในที่สุดก็ต้องยอมให้พระพุทธเจ้าพร้อมพระอรหันต์ผ่านไปสู่เทวโลกแต่โดยดี






ในตำนานเล่าว่าหลังจากที่ พญาศรีสุทโธนาค ขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์เพื่อขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์ ซึ่งขอไว้
3 แห่งด้วยกัน โดยแห่งแรกจะอยู่ที่พระธาตุหลวง ในนครเวียงจันทน์  ส่วน แห่งที่สองนั้นจะอยู่ที่หนองคันแท และแห่งสุดท้ายนั้นอยู่ที่คำชะโนด ซึ่งสถานแห่งที่สามนี้ เป็นสถานที่ที่บรรดาเทวาดาที่อยู่ในชั้นพรหมที่หมดบุญ จะต้องลงมากินง้วนดินซึ่งเหมือนกับดินที่มีกลิ่นหอมๆหลังถูกไฟเผา ดังนั้นเราจึงอาจจะเรียกสถานที่ตรงคำชะโนดนี้อีกชื่อหนึ่งก็ได้ว่า พรหมประกายโลก โดยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะมีต้นไม้ประหลาดที่ชื่อ ต้นชะโนด ขึ้นเป็นสัญลักษณ์อยู่ ซึ่งต้นชะโนดนี้จะมีลักษณะเหมือนต้นไม้สามชนิด คือต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาลผสมกัน โดยต้นไม้ชนิดนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะตรงสถานที่แห่งนี้เพียงแห่งเดียวในโลกเท่า นั้น
ป่าชะโนด ที่มีอายุมาหลายร้อยปีแห่งนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ราวๆ 20 ไร่ บนต.วังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี เมื่อปี 2520 เคยมีชาวบ้านทำการออกสำรวจนับต้นชะโนดในป่าแห่งนี้ ซึ่งมีอยู่ราว 2,000 กว่าต้น ต่อมาในปี 2544 ชาวบ้านในละแวกนี้ได้มีการสำรวจอีกครั้ง พบว่าต้นชะโนดนั้นลดจำนวนลงเหลือเพียง 1,865 ต้น ถึงกระนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศที่ชวนวังเวง แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ บริเวณใกล้เคียงรอบๆออกนอกอาณาเขตจากสถานที่ศักดิ์ของพญานาคาแห่งนี้แล้ว เราไม่อาจพบต้นไม้ชนิดนี้ได้เลย  
คำ โบราณที่เชื่อว่า มะพร้าว มีความเกี่ยวโยงกับอีกภพภูมิหนึ่งนั้น ยังเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ใหม่ก้าวหน้าไปยังไม่ถึง ที่จะอธิบายให้ได้ว่า ทั้งสองสิ่งนี้มีความเกี่ยวโยงกันอย่างไร ตามที่คนโบราณเล่าขานสืบต่อกันมา ดั่งเช่น หากมะพร้าวต้นใดที่ต้นอ่อนแทงขึ้นตรงกับจุกแล้วละก็ มะพร้าวต้นนั้นเมื่อโตขึ้นจะถูกฟ้าผ่า ซึ่งเรื่องนี้ เป็นความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ แต่เหตุไฉนบรรพบุรุษของพวกเราถึงได้ล่วงรู้ปรากฏการณ์ธรรมชาติเหล่านี้
 ดั่ง เช่นต้นชะโนด ที่เชื่อมโยงระหว่างมิติของเมืองบาดาล กับมิติของโลกมนุษย์ และในอดีตก็เคยมีคนพยายามเอาต้นชะโนดไปปลูกที่อื่น แต่ไม่นานก็ต้องเอากลับมาคืนที่เดิม เพราะอาถรรพณ์ส่งผลให้ชีวิตการงาน ชีวิตครอบครัวมีแต่ความย่อยยับเดือดร้อน แม้แค่เอาเมล็ดหรือส่วนใดส่วนหนึ่งออกจากป่าแห่งนี้ สุดท้ายต้องเอามาคืนกันทุกคน
มี เรื่องเล่าแปลกๆมากมายจากผู้ที่เคยเข้าไปสัมผัสกับป่าแห่งนี้ มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่อาจจะฟังมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่หากจะเล่าอีกสักครั้งก็คงจะไม่เบื่อ นั่นก็คือเหตุการณ์เมื่อ พ.ศ.2532 นายธงชัย แสงชัย เจ้าของบริษัทหนังเร่ได้เล่าว่า ตนเองถูกว่าจ้างจากใครคนหนึ่งให้ไปฉายหนังกลางแปลงซึ่งกำลังมีงานวัด ที่หมู่บ้านวังทอง แถวป่าคำชะโนด ด้วยจำนวนเงินที่ตกลงกันคือ 4,000 บาท แต่มีข้อแม้อยู่ว่า ต้องฉายให้จบไม่เกินตี 4 ของ วันใหม่ และให้ออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง โดยหลังจากเก็บสมภาระเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ในการฉายแล้ว ระหว่างเดินทางกลับห้ามหันหลังกลับมามอง
ในครั้งนั้นนายธงชัยได้ไปกับลูกน้องอีก 4 คน โดยบรรทุกเครื่องมือและอุปกรณ์การฉายใส่รถ 6 ล้อ แล้วออกจากตัวจังหวัดในเวลาราวบ่ายแก่ ๆ ทำให้ไปถึงป่าคำชะโนดก็เริ่มพลบค่ำ ยิ่งเมื่อขับเข้าไปตามทางที่ผู้ว่าจ้างบอกก็ไม่เห็นว่าจะเจอหมู่บ้านหรือคน ที่จะมารับ จึงนึกว่าหลงทาง ระหว่างการตัดสินใจว่าจะย้อนกลับ ก็กลับมีผู้หญิง 2 คนใส่ชุดดำมาร้องเรียกว่าและอาสาจะนำทางไปส่งที่วัด ดังนั้นเขาจึงรับขึ้นรถ แต่ก็ข่มความสงสัยที่ว่า 2 คน นี้โผล่มาจากไหนในที่มืดๆข้างทางอย่างนี้ แต่เมื่อขับรถเข้าไปในหมู่บ้านก็ยิ่งให้เพิ่มความสงสัยขึ้นไปอีก เพราะโดยปรกติงานวัดทุกแห่งที่เคยประสบพบเห็นมา จะต้องมีเสียงลำโพงจากเครื่องขยายเสียง แต่งานวัดในครั้งนี้กลับไม่มีเสียงของหมอลำ หรือการละเล่นอะไรเลยสักชนิดเดียว แต่แกก็แอบสะกดความสงสัยอยู่ในใจคนเดียวอย่างเงียบเชียบ และเมื่อขับรถผ่านเข้ามาพร้อมเก็บความสงสัยจนไปถึงหมู่บ้าน ก็มีคนอีกชุดออกมารับ แต่ ก็แปลกที่ว่าทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้จะใส่เสื้อผ้าเพียงสีขาวกับสีดำเท่านั้น เอง โดยแยกว่าถ้าเป็นผู้ชายจะใส่ด้วยชุดสีขาว หากเป็นผู้หญิงจะใส่ด้วยชุดสีดำ แยกออกจากกันอย่างชัดเจนไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก แต่ที่แปลกไปกว่านั้น ทุกคนจะทาหน้าด้วยแป้งสีขาวเหมือนกันหมด
เมื่อ ไปถึงสถานที่ที่ผู้ว่าจ้างสั่ง ทีมงานทุกคนก็เริ่มตั้งจอภาพยนตร์ เดินสายไฟ และเปิดเครื่องปั่นไฟ ระหว่างที่กำลังกุลีกุจอติดตั้งอุปกรณ์การฉายอยู่นั้น ก็เริ่มเห็นผู้คนทยอยกันออกมานั่งหน้าจอ แต่จะนั่งแยกชายหญิงชัดเจนไม่รวมกัน และตามปกติของงานวัดทั่วไปจะต้องมีแม่ค้ามาขายน้ำ ขายถั่ว ขายลูกชิ้นปิ้ง แต่ที่นี่กลับไม่มีแม่ค้าแม้สักรายเดียว ทุกคนที่มาดูหนังก็จะนั่งกันด้วยความเรียบร้อย ไม่มีแม้แต่เสียงหัวเราะหรือการแสดงอารมณ์อะไรเลย ยังจำอย่างมิเคยลืมเลือนว่า บรรยากาศตอนหลังเที่ยงคืนจะยิ่งรู้สึกวังเวงและน่ากลัวมาก คืนนั้นจ้าภาพได้จัดข้าวต้มถ้วยเล็กๆมาให้ทีมงานฉายหนังกินกัน เป็นข้าวต้มซีดๆ กับเนื้อชิ้นเล็กๆ ซึ่งต้องกินแบบเสียมิได้แต่กลับประหลาดใจว่าเป็นข้าวต้มที่อร่อยที่สุดที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน หลังจากฉายหนังจบประมาณตี 2 ผู้ คนต่างก็แยกย้ายกันกลับด้วยเวลาเพียงครู่เดียวไม่มีใครเหลืออยู่เลยแม้สักคน เดียว หลังจากที่ทีมงานเก็บอุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อย มีผู้หญิงสองคนอาสานั่งรถออกมาส่งเช่นเดิม ก่อนจะล่ำลาได้จ่ายค่าจ้างที่เหลือซึ่งเป็นเงินเหรียญทั้งหมด เมื่อผู้หญิงทั้งคู่มาส่งถึงปากทางก็ขอลาแล้วลงรถไป แม้จะผิดสัญญาด้วยการหันกลับไปดู แต่ก็ไม่พบผู้หญิง 2 คนที่มาส่งนั้นเสียแล้ว 

ที่ผืนป่าคำชะโนดแห่งนี้ยังมีเรื่องน่าอัศจรรย์อื่นๆ อีกมากมาย ในอดีตจะห้ามคนใส่เสื้อแดงเข้ามาในบริเวณป่าแห่งนี้โดยเด็ดขาด ใครใส่เข้ามาที่นี่จะพบกับอาถรรพณ์แล้วอยู่ไม่ได้นานก็ต้องรีบออกไป หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไม แต่ต่อมาภายหลังจากที่หลวงตาคำ สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศรีสุทโธ ซึ่งเป็นวัดในละแวกนั้นได้ทำพิธีขอยกเว้น จึงใส่เข้าไปได้ และที่กลางดงชะโนดแห่งนี้ จะมีบ่อน้ำขนาดเล็กๆที่มีน้ำซึมชุ่มเย็นอยู่ทั้งปี มีชาวบ้านหลายคนที่มีศรัทธาได้อธิษฐานตรงหน้าบ่อน้ำก็ได้ตามประสงค์ บางคนเจ็บป่วยไปดื่มหรืออาบโรคร้ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง สร้างความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งนี้ก็จะเกิดขึ้นเฉพาะคนที่ศรัทธาเท่านั้นไม่ใช่จะเกิดขึ้นกับทุกคน  เวลา น้ำแล้งก็จะเห็นว่าแผ่นดินรอบๆป่าเชื่อมต่อในระดับใกล้เคียงกับพื้นดินของ ป่าคำชะโนด แต่ในยามน้ำท่วมพื้นดินรอบๆป่าคำชะโนดจะถูกน้ำท่วมหมด แต่ปรากฏว่าป่าแห่งนี้น้ำจะไม่เคยท่วม แม้น้ำจะขึ้นสูงสักเพียงใดพื้นดินบริเวณแห่งนี้ก็จะไม่ท่วม จนชาวบ้านต่างเชื่อกันว่า ผืนป่าศักดิ์สิทธิ์คำชะโนดแห่งนี้ลอยน้ำได้ และยังเชื่ออีกว่าที่เป็นเช่นนี้จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจากเป็นเจตนาของผู้ดูแลที่ชื่อ พระศรีสุทโธ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งคำชะโนดแห่งนี้
ตอนที่ 3 เผ่าพันธุ์พญานาค


มัน เป็นเรื่องที่แปลกเหลือเชื่อ จนอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ว่า การค้นพบโครงกระดูกของฝูงอภิมหางูยักษ์ในเหมืองถ่านหิน ในบริเวณประเทศโคลัมเบียเมื่อปีที่แล้วนั้น โครงกระดูกของอภิมหางูที่พบกลับมีขนาดมิได้แตกต่างไปจากขนาดของพญานาค ที่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณอย่างเช่น
ในคัมภีร์ของชาวฮินดู หรือที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก

ภาพเปรียบเทียบกระดูกของอนาคอนด้า กับ อภิมหางูยักษ์
 
พญา นาคนั้นนอกจากจะอาศัยอยู่ในแม่น้ำ หนอง คลอง บึงต่าง ตลอดจนถึงในอากาศ บุญบารมีจากการถือศีล ยังส่งพญานาคขึ้นไปสู่ภพภูมิของสวรรค์ในชั้นจาตุมหาราชิกาเลยทีเดียว โดยในตำราโบราณของชาวฮินดูเชื่อกันว่า พญานาค ก็คือ ราชาแห่งงู ซึ่งเป็นงูที่มีขนาดใหญ่ราวต้นตาล มีหงอนสีทอง และดวงตาสีแดง โดยพญานาคนั้นจะแบ่งออกได้เป็น 4 ตระกูล คือ

 
ตระกูลวิรูปักษ์ เป็นพญานาคตระกูลที่มีผิวหนังสีทอง
ตระกูลเอราปถ เป็นพญานาคตระกูลที่มีผิวหนังสีเขียว
ตระกูลฉัพพยาปุตตะ เป็นพญานาคตระกูลที่มีผิวหนังสีรุ้ง
และสุดท้ายตระกูลกัณหาโคตมะ เป็นพญานาคตระกูลที่มีผิวหนังสีดำ
โดย ในคัมภีร์ฉบับดังกล่าว ยังได้อธิบายลึกลงไปถึงการกำเนิดของพญานาคว่า การกำเนิดของพญานาคนั้น จะมีอยู่ด้วยกัน 4 วิธีด้วยกัน คือ เมื่อเกิดแล้วโตทันที โดยการเกิดเช่นที่ว่านี้ จะเป็นพญานาคในชั้นปกครองเท่านั้น ซึ่งเรียกว่า โอปปาติกะ อีกวิธีหนึ่งก็คือ เกิดจากการตั้งครรภ์ ซึ่งจะเรียกว่า ชลาพุชะ หรือการเกิดจากไข่ ซึ่งเรียกว่า อัณฑชะ และสุดท้ายคือ การเกิดจากเหงื่อไคล สิ่งหมักหมม หรือที่เรียกว่า สังเสทชะ
พญานาคกับพระพุทธเจ้าองค์ใหม่                                   
ใน พระไตรปิฎกนั้นระบุว่า พญานาคนั้นจะเป็นงูใหญ่ที่ชอบการถือศีล จะมีอยู่บ้างก็เพียงเล็กน้อยที่เป็นพวกเกดมะเรดเกเร โดยในบันทึกเล่มที่ว่านี้ ยังได้กล่าวถึงพญานาคที่ชื่อ กาฬนาคราช ซึ่งจะเป็นพญานาคขนาดใหญ่ที่นอนหลับใหล อยู่ใต้บาดาลที่ลึกลงไปใต้ดินถึง 500 โยชน์ หรือราว 8,000 กิโลเมตร ซึ่งพญานาคดำตัวนี้ ได้นอนหลับใหลมาเป็นเวลายาวนานหลายหมื่นหลายแสนปีแล้ว โดยกาฬนาคราช หรือพญานาคสีดำตัวนี้ จะตื่นขึ้นมาก็แต่เฉพาะที่ได้ยินเสียงถาดทอง ที่เกิดจากการเสี่ยงทายของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เท่านั้น ในกรณีของพระสมณโคดม ซึ่งเป็นถาดใบที่สี่

โดยในบันทึกที่เขียนไว้ในพระไตรปิฏกอธิบายว่า หลังจากที่นางสุชาดาได้ถวายข้าวมธุปายาส เมื่อนางได้เดินกลับไปบ้านแล้ว พระมหาบุรุษได้เสด็จลุกขึ้นจากอาสนะ โดยทรงถือถาดข้าวเสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา หลังจากที่พระองค์เสด็จลงสรงน้ำแล้วขึ้นมาประทับนั่งอยู่ที่ริมฝั่ง ทรงปั้นข้าวมธุปายาสออกเป็นปั้นๆรวมได้ 49 ปั้น แล้วทรงเสวยจนหมด เสร็จแล้วทรงลอยถาดโดยทรงอธิษฐานว่า ถ้าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ถาดจงลอยทวนกระแสน้ำ เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ถาดใบที่ทรงเสี่ยงทาย สามารถลอยทวนน้ำขึ้นไปไกลถึง 80 ศอก จนไปถึงวังน้ำวนแห่งหนึ่ง   ถาดนั้นจึงได้จมดิ่งหายลงไปจนถึงพิภพของกาฬนาคราช และได้ไปกระทบกับถาดสามใบของพระพุทธเจ้าในอดีตสามพระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมน์ และพระกัสสปะ จนเสียงที่กระทบดังกริ๊ก โดยจมซ้อนอยู่ใต้ถาดเก่าที่มีอยู่แล้ว 3 ใบ แม้เสียงกระทบของถาดใบล่าสุดที่กระทบถาดใบเก่าจะได้ไม่ดังสักเท่าไหร่ แต่ก็สามารถปลุกให้พญากาฬนาคราชให้ตื่นจากการนอนหลับอันยาวนาน ถึงราว 1 พุทธันดร ซึ่งก็คือ 1 ช่วงเวลาที่ศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งสูญสิ้นลง และมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้นมาบนโลก
 
หลัง จากได้ยินเสียงกระทบของถาดเสี่ยงทาย กาฬนาคราช ก็รู้ได้ทันทีว่า ได้มีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้นมาอีกหนึ่งองค์ในโลกแล้ว ซึ่งในครั้งที่ 4 นี้ พอพญากาฬนาคราช ตื่นจากหลับใหล ก็รำพึงด้วยความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งว่า
“วันวานนี้พระชินสีห์อุบัติในโลกพระองค์หนึ่งแล้ว ซ้ำบังเกิดอีกองค์หนึ่งเล่า”
พญา นาคที่ว่าก็เลยสวดสรรเสริญพระพุทธคุณเป็นร้อยจบ สวดจบก็เข้าสู่นิทราต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปจะมาอุบัติ ขึ้นอีกครั้ง

ศรัทธาพญานาค
นอก จากพญากาฬนาคราชแล้ว ในพระไตรปิฎกยังได้กล่าวถึง พญานาคตัวอื่นๆ เช่นหลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จไปตามเมืองต่างๆเพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อธุปปาลนิโครธ ไปยังร่มไม้จิก เมื่อคราวนั้นได้เกิดฝนตกพรำๆ ประกอบไปด้วยลมหนาวที่พัดติดต่อกันยาวนานถึง 7 วัน ในครานั้นได้มีพญานาคชื่อ มุจลินท์ ได้เข้ามาขดตัวล้อมรอบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ 7 รอบ พร้อมกับยังแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้าเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้พระวรกายของพระองค์ถูกละอองของสายฝนและลม ซึ่งหลังจากที่ฝนหายตกแล้ว พญานาคมุจลินท์ ก็ได้คลายขดออก แล้วได้แปลงเพศเป็นมานพหนุ่มมายืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า
นอก จากนั้นยังเคยมีพญานาคตนหนึ่ง ได้มีโอกาสนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าจนเกิดศรัทธา จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์มาขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่เมื่อครั้นเผลอหลับภิกษุรูปนั้นได้กลายเป็นงูใหญ่ ความได้รู้ถึงพระพุทธเจ้าจึงให้พระภิกษุนาครูปนั้นสึกออกไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงทำให้นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงได้ขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตนต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ ให้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑหรือสัตว์อื่นๆ บวชอีกเป็นอันขาด ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องที่แปลกเหลือเชื่อของ งูใหญ่อันเป็นเผ่าพันธุ์ของพญานาค



จากเหตุการณ์อุกกาบาตพุ่งชนโลกเมื่อราว 100 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งเหตุการณ์อันน่าสยดสยองในครั้งนั้น ทำให้กลุ่มสัตว์บกนานาชนิดที่อาศัยอยู่ในยุค จูแรคสิค เกิดการล้มตายจนสูญพันธุ์พร้อมๆกันอย่างกะทันหันจำนวนมากมาย


แต่ความมหัศจรรย์ของจักรวาลตาม ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณอย่างพระไตรปิฎก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อว่าในบันทึกเมื่อกว่า 2,500 ปีที่แล้ว มีอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเพิ่งจะค้นพบ ดังเช่น  การอธิบายถึงจักรวาล ว่ามีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางนั้น ความจริงมันมีอยู่หลายหมื่นหลายแสนจักรวาลจนประมาณจำนวนมิได้
และ รูปร่างของสากลจักรวาลเหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ ที่จะเปลี่ยนแปลงขยับขยาย เคลื่อนไปเคลื่อนมา แต่การที่ดูเสมือนหนึ่งว่ามันเคลื่อนตัวยุบๆขยายๆนั้น ความจริงมันคือการระเบิด หลังจากนั้นก็จะไปก่อตัวขึ้นมาใหม่ วนเวียนๆอย่างนี้ ซึ่งลักษณะที่ว่านี้นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเรียกมันว่า Big bang และ ในพระไตรปิฎกอีกนั่นแหละที่ยังอธิบายลึกลงไปอีกว่า ความจริงแล้วในแต่ละจักรวาลนั้นจะมีอายุที่ยืนยาวมากจนไม่อาจที่จะรู้ได้ เพราะมันจะมีการดับและระเบิดไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเรียกสิ่งนี้ว่า พหุจักรวาล โดยการระเบิดในแต่ละครั้ง ย่อมเกิดสะเก็ดจากการระเบิดอย่างมากมาย ซึ่งเป็นไปได้เป็นอย่างมากที่สะเก็ดเหล่านั้น แรงของการกระเด็นได้ผ่านเข้ามาในระยะแรงดึงดูดของโลก จนเกิดอภิมหาโศกมหานาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่

ในครั้งนั้น ไม่มีหลักฐานอะไรเลยที่จะตอบได้ว่า สิ่งมีชีวิตเพียงไม่กี่ชนิดได้หลุดเล็ดรอดจากความตามหายนะมาได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆในบันทึกโบราณอย่างเช่น พระไตรปิฎก ได้บันทึกคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า ไว้อย่างน่าสะพรึงกลัวว่า
เหตุที่คล้ายๆกับการเกิดขึ้นในครั้งนั้น มันจะกลับมาเกิดขึ้นอีกรอบ ในปี พศ.5000 แต่จะแตกต่างกันก็เพียง มันมิได้เกิดขึ้นจากภายนอกโลก แต่มันจะเกิดขึ้นจากมนุษย์ภายในโลกที่สร้างความหายนะเหล่านี้ขึ้นมาเอง

สภาพ ทั่บนทึกไว้ในคัมภีร์โบราณฉบับนี้ได้บรรยายถึงสภาพอันน่าสะพรึงกลัวเป็น อย่างยิ่ง ของอภิมหาภัยวิบัติในครั้งหน้า กล่าวคือ ก่อนการเกิดมหาภัยวิบัติครั้งใหญ่คราวหน้า 15 วัน โลกจะเอียงก้มหัวลงให้ดวงอาทิตย์มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือละลาย ยังจะนำไปสู่เกลียวคลื่นยักษ์ที่จะเข้าถาโถมสู่แผ่นดิน แล้วปัจจุบันก็ดูเหมือนว่ามันเริ่มก่อตัวให้เราได้เห็นกันบ้างแล้ว โดยมันจะเกิดติดต่อกันยาวนานถึง 49 วัน ในระหว่างเดือนตุลาคม พฤศจิกายน จะเกิดฝนตกครั้งใหญ่ไปทั่วโลก เป็นเวลา 7 วัน แต่ใน 3 วันแรกจะเกิดสงครามนิวเคลียที่ทวีปเอเชีย ในประเทศที่เป็นอริต่อกัน ผลของมันจะทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ พายุถล่ม แผ่นดินแยกและไหวอย่างสั่นสะเทือนเรือนลั่นไปทั่วทั้งโลก ภูเขา ไฟจะระเบิดด้วยเสียงอันดังสนั่นกึกก้อง พร้อมๆไปกับการถาโถมของคลื่นยักษ์จากทะเล ผู้ที่พอจะรอดจากเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวที่ว่านี้ ก็จะต้องทนทุกข์ทรมานกับการเกิดของโรคระบาดจนยากที่จะเยียวยา มันคือ อหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่ โดยผู้ที่ได้รับเชื้อจะตายภายใน 6 วันทันที คลื่นเสียงที่รุนแรงกึกก้อง จนทำให้ประตูมิติทั้ง 3 เปิดออกทะลุเข้าหากัน สิ่งมีชีวิตจะเกิดความอดอยากขาดแคลนอาหารอย่างแสนทรมาน

แต่ สิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ กลับอยู่ที่ว่า ในการที่จะผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปได้นั้น ในพระไตรปิฎกฉบับนี้ นอกจากการเตือนให้ เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3-6 เดือน เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย ได้แก่ เสื้อผ้า กระเป๋าน้ำร้อน ผ้าห่ม ฯลฯ เพราะในช่วงเวลานั้นอากาศจะหนาวเย็นยะเยือกชนิดจับขั้วหัวใจ เครื่องใช้ที่จำเป็น ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ตลอดจนห้ามการกินอาหารที่ได้มาก่อนจะล้างด้วยด่างทับทิม เพราะ จะมีทั้งเชื้อโรคและสารกัมมันตรังสีปนเปื้อน ส่วนโรคทางผิวหนังที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษาจะต้องทาด้วยคาราไมล์ซึ่งจะทำ หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ยานพาหนะ เช่น เรือ เสื้อชูชีพ เครื่องช่วยชีวิต แสงสว่างเช่น เทียน ตะเกียงพายุ เพราะเวลานั้นท้องฟ้าจะมืดมิด 7 วัน เท่ากับ 1 ราตรี และจะมืดมิดรวม 7 ราตรี หรือ 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก การเตรียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

 
ห้ามออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด ใครมาเคาะประตูบ้านก็ห้ามเปิด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นญาติสนิทหรือคนที่เรารู้จักก็ตาม ห้ามตากฝน เพราะในฝนจะมีพิษ ทั้งเชื้อโรคและสารเคมีที่มนุษย์สร้างขึ้น ห้ามลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆ แต่ถ้าหลีกเลียงไม่ได้ต้องใช้ด่างทับทิมล้างทุกครั้ง ห้ามเปิดประตูต้อนรับผู้อื่น เพราะช่วงเวลานั้นประตูมิติของโลกทั้ง 3 ภพ จะถูกเปิดเป็นครั้งแรก ผู้ไม่เชื่อเรื่องผีสาง จิตวิญญาณ ก็จะได้เห็น คนที่มาเยือนอาจเป็นผีเปรต ผีโขมด ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราจำแลงมาก็เป็นได้ และห้ามอยากรู้อยากเห็นโดยเด็ดขาด ห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด ห้ามกินผักที่ยังไม่ได้แช่ด่างทับทิม ฝึกการกินให้น้อย ถ่ายให้น้อย ระวังอากาศที่หนาวเย็น ระวังสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษเช่น งูพิษ จระเข้ ห้ามอยู่ตึกสูงเกิน 3 ชั้น เพราะตึกสูงเกิน 3 ชั้น จะพังทลายราบเป็นหน้ากลอง แต่สิ่งสำคัญที่ควรต้องทำในช่วงเวลาวิกฤติตอนนั้นก็คือ การเตรียมจิตวิญญาณ ชำระกรรมให้เบาบางโดยต้องหยุดความโลภ โกรธ หลง ทำจิตใจให้สงบเบิกบาน เพราะ วันนั้นจะมีผู้ที่เส้นโลหิตในสมองแตก เสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากเสียงที่ดังอันกึกก้องไปกระตุ้นเส้นเลือดในสมองให้ แตก ดังนั้น ต้องปล่อยวาง ทำจิตให้เป็นบวก จะช่วยได้มาก มีสำนึกทางจิตวิญญาณ ฝึกการละวาง มีสติรู้ตัวตลอดเวลา ฝึกการทำโฆษกรรม ขออภัยต่อเจ้ากรรมนายเวร หรือผู้ที่เราล่วงละเมิด ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้พ้นจากภัยอันตราย ด้วยการ ถือศีล

ความจริงสัตว์ต่างๆรู้จักการถือศีลมานมนานเท่าไหร่ไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ที่พอจะมีปรากฏบ้างในพระไตรปิฎก  ที่กล่าวไว้ถึงจิตบางดวงที่เวียนว่ายตายเกิด และผ่านการถือศีลติดต่อกันมายาวนานถึงหลายๆหมื่นปี ดังเช่น พระศรีสุทโธ แต่ใน
สัตว์ที่ถือศีล หรือจำศีลที่เราคุ้นเคยก็อย่างเช่น กบ หนูบางชนิด หมี สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ  เช่น  กบ และหอยบางจำพวก ที่ไกลตัวออกไปหน่อยก็เช่น ค้างคาวในซีกโลกเหนือ ปลาปอดแห่งออสเตรเลียจะนอนหมกโคลนในช่วงฤดูแล้งจัดๆ และจะตื่นขึ้นมาเมื่อฝนฤดูใหม่โรยริน โดยในระหว่างการจำศีลนี้หัวใจของมันจะเต้นช้ามาก และการหายใจก็จะช้าลง จนเซลล์เกือบจะหยุดการทำงาน สัตว์เลื้อยคลานอีกชนิดหนึ่งที่รู้จักการจำศีล เพื่อเอาตัวรอดนั่นก็คือ งู และมันเป็นไปได้หรือไม่ว่า งูนั้นคงจะรู้จักการถือศีลมาตั้งแต่ยุคจูแรคสิค และมันอาจจะรู้อีกด้วยซ้ำว่า การที่จะรอดให้พ้นจากมหาวิกฤติครั้งหน้าก็คือการที่จะต้องถือศีลตามคำ พยากรณ์ใน พุทธทำนาย

วัดหนองโว้ง(พระอารามหลวง)

วัดหนองโว้ง(พระอารามหลวง)
ตำบลเมืองบางยม อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย

พระวิสัน (พธบ./รปม)

รูปแบบ การวิจัย โดย ผศ.(พิเศษ) นภดล สุชาติ พ.บ M.P.H

อ้างอิงจาก http://www.slideshare.net/guest9e1b8/9-presentation-948269

South East Asia University

สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

ตัวแบบนโยบายสาธารณะสมัยใหม่

กิจกรรมดูงานเชื่อมสายสัมพันธ์ MPA12and MPA13

Download

เสียงปลง

Nonstop - I'm The Sexy Girl - DJ Back Up